ธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่สนับสนุน คริปโตเคอเรนซี่ ชำระหนี้ตามกฎหมาย

15 ก.ย. 64

กรณีการใช้ คริปโตเคอเรนซี่ ชำระหนี้ตามกฎหมาย ดร. เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. กล่าวในการ ปาฐกถาพิเศษ The Future of Financial System อนาคตโลกการเงิน ว่า ไม่สนับสนุนให้นำเงินคริปโตเคอเรนซี่มาใช้เป็นสกุลเงินที่ชำระหนี้ตามกฎหมายเนื่องจากค่าเงินคริปโตมีราคาผันผวน ผู้คนยังขาดความรู้ความเข้าใจที่เพียงพอเกี่ยวกับระบบการเงินดังกล่าวและยังมีเรื่องของความปลอดภัยในโลกไซเบอร์อันอาจนำไปสู่การฟอกเงิน

ทั้งนี้ กระแสชักชวนการลงทุนและภัยการเงินดิจิทัลที่ประชาชนยังไม่มีความเข้าใจเพียงพอ จึงเตือนว่าประชาชนควรระมัดระวังความเสี่ยงจากการลงทุนหรือถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล รวมทั้งระวังเรื่องการกดลิงก์ที่ส่งมาทางข้อความมือถือ เว็บไซต์ อีเมล และสื่อโซเชียล ซึ่งนำมาสู่การถูกล้วงข้อมูลส่วนตัว

ดังนั้น สภาพการณ์ระบบการเงินไทยก็จะเปลี่ยนแปลงไปแน่นอนในอนาคต เพราะการเข้ามาของเทคโนโลยีบล็อกเชนส่งผลให้มีผู้เล่นก้าวเข้าสู่ระบบการเงินดิจิทัลหลากหลาย ทั้งกลุ่มที่เป็นสถาบันการเงิน และไม่ใช่สถาบันการเงิน หรือแม้กระทั่งไม่มีตัวตนจริง อีกทั้งเทคโนโลยีดังกล่าวยังเอื้อให้ผู้คนสามารถเข้าถึงระบบต่างๆ ได้ทุกที่ทุกเวลาจากอุปกรณ์ดิจิทัลที่มีอยู่ในมือ รวมทั้งประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม

อย่างไรก็ตาม นับเป็นความท้าทายของ ธปท. ที่จะเข้ามากำกับดูแลการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาปรับใช้กับธุรกิจในประเทศ ซึ่งผู้ว่าการ ธปท. ต้องการหนุนโครงการ CBDC เพื่อเตรียมพร้อมและเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการใช้เงินดิจิทัล ตอบรับกับการก้าวเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต

อนึ่ง CBDC จะเป็นสกุลเงินดิจิทัล แต่มีความแตกต่างจากเงินคริปโตสกุลต่างๆ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยได้ให้ข้อมูลไว้ว่า CBDC เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ธนาคารกลางกำหนดขึ้นให้ใช้เป็นตัวกลางในการชำระใช้จ่ายสินค้าและบริการได้ รวมทั้งมีหน่วยวัดทางบัญชี ในขณะที่ บิตคอยน์ อีเธอเรียม หรือเงินคริปโตสกุลอื่นเป็นเงินดิจิทัลที่ออกโดยภาคเอกชน อีกทั้งมีมูลค่าราคาผันผวน ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้เป็นตัวกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ

นอกจากนี้ CBDC ยังแบ่ง ออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ แบบที่ใช้ทำธุรกรรมระหว่างสถาบันการเงิน และแบบที่ใช้ทำธุรกรรมของภาคธุรกิจและเอกชน การผลักดันให้ใช้ CBDC นั้นได้ริเริ่มจัดตั้ง 'โครงการอินทนนท์' ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง เมื่อปี พ.ศ.2560 เพื่อทดลองใช้โอนเงินข้ามประเทศร่วมกับธนาคารกลางฮ่องกง โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่า ต้องการสร้างและเตรียมพร้อมระบบเงินดิจิทัลของไทยที่เอาไว้ใช้งานในวันที่ประเทศต่างๆ ก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและนโยบายการเงินของประเทศ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

- บิทคอยน์ ทำนิวไฮ มูลค่าถึง 1.85 ล้านบาทต่อ 1 เหรียญ สูงสุดเป็นประวัติการณ์
- หลวงพี่คริปโตหอบคอมพ์ล่องหน พระลูกวัดป้องแค่ศึกษาบิตคอยน์ ปัดตั้งโต๊ะบอล ชาวบ้านจี้สำนักพุทธสอบ (คลิป)
- เหรียญลุงตู่ คริปโตใหม่ล่าสุดของไทย สกุลเงินดิจิทัลที่เอาไว้ใช้บริจาค

advertisement

ข่าวยอดนิยม