จากกรณีนายไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายความ และนายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา นำผู้เสียหายมายังกระทรวงสาธารณสุข เพื่อร้องเรียนให้ตรวจสอบศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดที่วัดแห่งหนึ่งใน อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี หลังพบว่าไม่เป็นไปตามกฎระเบียบของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด และช่วยทั้งหมดออกจากศูนย์นั้น
วันที่ 21 ก.ย. 64 ทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี ลงพื้นที่ไปยังวัดท่าพุราษฎร์บำรุง ต.ด่านมะขามเตี้ย อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานสาธารณสุขอำเภอด่านมะขามเตี้ย มีนายอุกฤษฎ์ บุษบงค์ สาธารณสุขอำเภอมะขามเตี้ย ตัวแทนสำนักพุทธจังหวัดกาญจนบุรี, แพทย์จากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, ผู้กำกับ สภ.ด่านมะขามเตี้ย, ผู้ใหญ่บ้าน, ตัวแทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดกาญจนบุรี และพระชาญวิทย์ ธิสะมาโร หรือ พระเหน่ง พระเลขาเจ้าอาวาสวัดฯ เดินทางเข้ามาประชุมหารือกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นโดยเร่งด่วน
เนื้อหาการประชุมในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จัดการกับผู้ป่วยที่ต้องดำเนินการต่อ ขณะทางวัดเองก็ได้มีการเสนอว่าจะให้มีการยุติศูนย์สงเคราะห์บำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดที่วัดท่าพุราษฎร์ และเร่งเสนอแนวทางการช่วยเหลือผู้ป่วยที่เหลือ มีทั้งผู้ป่วยที่ทาง พมจ. ต้องประสานงานไปยังญาติให้มารับตัว ส่วนผู้ป่วยที่ยังต้องการรักษาตัว หน่วยงานรัฐจะประสานต่อไปยังสถานบำบัดที่เกี่ยวข้องในจังหวัด ซึ่งหลังที่มีการประชุมนานกว่า 3 ชั่วโมง พระชาญวิทย์ไม่มีการชี้แจงใด ๆ กับสื่อ
จากนั้น นพ.อังกูร ภัทรากร รองผู้อำนวยการด้านพัฒนาระบบสุขภาพ สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูยาเสพติดแห่งชาติ กรมการแพทย์ เปิดเผยว่า หลังจากที่มีการประชุมหารือกับเรื่องที่เกี่ยวข้องนั้น วัดได้มีการเสนอว่าจะมีการยุบศูนย์บำบัด คาดว่าน่าจะถาวร โดยในวันนี้ลงพื้นที่มาอีกครั้ง ตรวจสอบเรื่องห้องน้ำ พบว่ามีห้องน้ำที่ให้ผู้บำบัดใช้งานนอกอาคารมากกว่า 10 ห้อง สภาพเก่าแต่ประเมินแล้วพอใช้ได้ มีการทำความสะอาดถูกสุขอนามัย แต่ส่วนของการพักนอน ยอมรับว่าแออัดจริง เหตุผลที่ทางวัดให้เรื่องของการใช้ห้องน้ำ 2 ห้องภายในอาคารนอน เพราะป้องกันการหลบหนี
ทั้งนี้ จะมีการตรวจสอบว่าผู้ควบคุมดูแลได้รับการอบรมในหลักสูตรหลักสูตรช่วยเหลือการบำบัดยาเสพติดทุกคนหรือไม่ แต่เบื้องต้นเท่าที่ทราบก็มีเจ้าหน้าที่ได้รับการอบรมอยู่บ้าง เรื่องค่าใช้จ่ายในการเข้าบำบัดนั้น ตนไม่ขอไม่ออกความเห็น เพราะตนดูแลในเรื่องสุขอนามัยของความเป็นอยู่ของมนุษย์ ส่วนผู้บำบัดที่ยังคงหลงเหลืออยู่ภายในวัด ทราบข้อมูลจากทางวัดว่าสมัครใจที่จะอยู่ช่วยเหลืองานศพเจ้าอาวาส ซึ่งก็มีประมาณ 10 คน ส่วนผู้บำบัดที่มีการเคลื่อนย้ายตัวไปอยู่ที่เขาชนไก่ จะมีการประสานไปยังกระทรวงพัฒนาสังคมมนุษย์ประจำจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อติดต่อญาติผู้บำบัดให้มารับตัว ในกรณีที่มีการรักษาหายแล้ว
ส่วนผู้บำบัดจิตเวช หน่วยงานราชการไม่ได้มีความนิ่งนอนใจ ยืนยันว่าจะประสานงานให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ไม่ทอดทิ้งประชาชนอย่างแน่นอน
พระต้อม (นามสมมติ) พระที่เข้าการบำบัด บอกว่า ตนเข้ามาอยู่ที่วัดนี้ประมาณ 2 ปีแล้ว ที่ผ่านมาจากการที่บวชเป็นพระ จะอาวาสมีการอบรมสั่งสอนโดยใช้หลักธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่เคยถูกทำร้ายร่างกายจนเกิดบาดแผล แต่จะถึงกับมีคนเสียชีวิตเลยหรือไม่ตนก็ไม่ทราบ เรื่องค่าใช้จ่ายในการบวช ตนไม่รู้ว่าทางครอบครัวมีการพูดคุยอย่างไร แต่ส่วนตัวคาดว่าไม่ได้เสียเงินอะไร ตลอดระยะเวลาที่อยู่ที่นี่ เรื่องการกินการอยู่ค่อนข้างดี ไม่พบเจอปัญหาข้าวบูด
ส่วนสาเหตุที่ไม่ไปเขาชนไก่นั้น ตนตั้งใจบวชที่วัดแห่งนี้ต่อไปเพื่อทะนุบำรุงวัดและศาสนา และช่วยเหลืองานศพของเจ้าอาวาสก่อน ยืนยันว่าสมัครใจที่จะอยู่ที่นี่ถาวร ไม่ขอกลับบ้านเหมือนคนอื่น ๆ กับทางครอบครัวก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน
นายอาร์ท (นามสมมติ) ผู้เข้ารับการบำบัด บอกว่า ตนเข้ามาบำบัดที่วัดแห่งนี้ 3 ครั้ง ครั้งแรก มื่อปี 2561 เข้ามา 1 ปี แล้วออกไป จากนั้นไม่นานปี 2562 ก็เข้ามาบำบัดอีกครั้ง ประมาณ 1 ปี 6 เดือน แล้วก็ออกไป โดยล่าสุดปี 2563 ตนตั้งใจมาบำบัด เนื่องจากเจ้าอาวาสมีความรักความเมตตาต่อผู้บำบัดทุกราย ซึ่งมีการใช้ธรรมะในการบำบัด กล่าวคือการให้นั่งสมาธิสวดมนต์ อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลแผ่เมตตา ซึ่งทำให้ตนจิตใจสงบมากขึ้น เรื่องการอาศัยอยู่ ตนยอมรับว่าภาพดังกล่าวค่อนข้างหดหู่ เนื่องจากมีจำนวนผู้บำบัดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าเปรียบตนเหมือนเป็นนักโทษ ก็เป็นนักโทษชั้นดี จึงได้ใกล้ชิดกับเจ้าอาวาส ก็เลยสัมผัสได้ถึงความดีงามที่ท่านได้ก่อไว้
ส่วนการที่มีการถูกขังไว้ในโรงนอนนั้น มาจากสาเหตุที่มีคนหนีจากการบำบัดแล้วไปก่อเหตุขโมยของ สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวบ้าน ทางศูนย์บำบัดจึงมีการเข้มงวดเรื่องของการปล่อยออกจากสถานที่ในเวลาที่จำเป็น เรื่องการทานอาหาร เป็นการปรุงแต่งอาหารสดใหม่ทุกวัน ยืนยันไม่เคยกินข้าวบูด
ส่วนเรื่องการทำโทษ ยอมรับว่าเกิดขึ้นจริง แต่เกิดขึ้นจากการกระทำผิด ส่วนตัวไม่เคยถูกลงโทษ เนื่องจากไม่เคยทำผิดกฎ และการลงโทษก็เป็นเพียงการตีสั่งสอน เหมือนครูสอนนักเรียน การทำโทษจะบอกเหตุผลทุกครั้งว่าครั้งนี้ทำผิดอะไร และจะตักเตือนด้วยความอ่อนโยนว่าอย่าทำแบบนี้อีก ส่วนสาเหตุที่ไม่ไปเขาชนไก่กับคนอื่น ๆ นั้น เพราะมีความต้องการช่วยเหลืองานศพของเจ้าอาวาส และโครงการสร้างแป้นพิมพ์พระ ที่เจ้าอาวาสตั้งใจทำไว้ก่อนที่จะมรณภาพ หลังจากเสร็จสิ้นงานศพแล้ว ตนก็จะเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม
นายดำ (นามสมมติ) ชาวบ้านในพื้นที่ บอกว่า ในมุมของชาวบ้านไม่มีใครอยากให้มีขี้เข้ามาในหมู่บ้าน กล่าวคือ ขี้ยา ขี้ขโมย ถ้าเป็นการบำบัดผู้ติดยาเสพติดแค่คนในหมู่บ้านตนก็พอเข้าใจ แต่ปัจจุบันมีหลายคนที่เอาบุตรหลานที่ติดยาเสพติดมาบำบัดที่วัดนี้เป็นจำนวนมาก เคยเกิดเหตุการณ์ผู้บำบัดหลบหนีจากศูนย์บำบัด ไปก่อเหตุขโมยรถจักรยานยนต์ชาวบ้าน ไปขโมยเสื้อผ้าของชาวบ้านมาเปลี่ยน ซึ่งชาวบ้านเองบางคนก็ไม่ค่อยชอบ แต่ก็เห็นใจเจ้าอาวาสซึ่งเป็นพระประพฤติดี สร้างคุณงามความดีให้กับวัด ชาวบ้านจึงพูดลำบาก
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย 12,000 บาทต่อปี อยากให้ลองเอาไปหาร 365 วัน ตกวันละ 32 บาท จะพออะไรกับการซื้อข้าวมากินแต่ละมื้อ แต่เจ้าอาวาสมีเมตตา ช่วยทำบุญเลี้ยงดูผู้บำบัดเพื่อให้เป็นคนดี แต่ภาพที่ออกไปยังสังคมก็ต้องยอมรับว่าค่อนข้างแออัด ก็เข้าใจว่าการกำหนดเขตบริเวณเพื่อไม่ให้มีการหลบหนีไปก่อนความวุ่นวาย การที่มีการร้องเรียนไปก็ต้องใช้วิจารณญาณในการฟังทั้งหมด มันอาจจะจริงบ้างไม่จริงบ้าง เพราะคนอยากออกจากสถานบำบัดก็พูดได้หมดทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้น
ขณะเดียวกันทีมข่าวได้มีโอกาสเข้าไปพูดคุยกับนายกล้า (นามสมมติ) อาสาสมัครกู้ภัย เปิดใจว่า จากกรณีดังกล่าวทำให้เกิดกระแสโจมตีวัดอย่างรุนแรง ผ่านสื่อสังคมโซเชียลมีเดียว่าเหี้-ทั้งวัด ยิ่งทำให้ตนรู้สึกหมดกำลังใจ และรู้สึกเสียใจ ที่สังคมตัดสินโดยไม่สอบถามเหตุผล โดยเฉพาะมีการพูดถึงเจ้าอาวาสในทางไม่ดี ตนยอมรับว่าทางวัดก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้ เรื่องของการกักขังผู้บำบัด แต่สาเหตุที่มีการกักขังนั้น เกิดขึ้นจากการที่ปล่อยให้มีการเล่นกีฬา ก็มีการหลบหนีออกจากวัด ปล่อยให้ทำกิจกรรมดีดกีตาร์ร้องเพลง ก็ยังมีผู้บำบัดหลบหนีออกไปจากวัด
ซึ่งพอหลบหนีออกไปจากวัด ก็มีการถือไม้ถืออาวุธ รวมตัวกันออกไปขโมยเสื้อผ้าของชาวบ้านจักรยาน และจักรยานยนต์ของชาวบ้าน ซึ่งทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน แล้วชาวบ้านก็โยนมาที่วัดว่าเป็นความผิดของวัด ซึ่งเพิ่งจะมีการกักขังผู้บำบัดเป็นเวลาเมื่อ 5 เดือนที่ผ่านมา หลังจากมีผู้หลบหนีออกไปสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน จนกระทั่งผู้คุมสามารถจับกุมตัวได้ ยอมรับว่ามีการทุบตีผู้บำบัดจริง แต่ก็ไม่มีใครเจ็บถึงตาย เป็นเพียงการสั่งสอนเท่านั้น
ส่วนการที่มีผู้เสียชีวิตในศูนย์การบำบัดนั้น ทราบว่าผู้บำบัดป่วยเป็นโรคประจำตัว ผลชันสูตรบอกว่าเสียชีวิตจากสาเหตุหัวใจล้มเหลว ซึ่งไม่พบร่องรอยการทำร้ายร่างกาย ทางญาติเองก็ไม่ได้ติดใจเอาความ แต่ตนก็ไม่แน่ใจในข้อมูลตรงนี้ เพราะไม่ได้เห็นใบชันสูตรด้วยตนเอง ตนจึงอยากขอให้สังคมเข้าใจเหตุผลตรงนี้บ้าง ส่วนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยมาสนใจ มาสนับสนุนหรือช่วยเหลืออะไรกับทางวัด พอเกิดปัญหาขึ้นมา ก็เพิ่งจะกระตือรือร้นเข้ามาตรวจสอบ
เรื่องเงินที่มีการเก็บค่าแรกเข้า 12,000 บาทต่อปี มองว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล หลายคนอาจจะคิดว่ามีผู้บำบัดมาถึง 200 คน วัดต้องร่ำรวย อยากให้คิดว่าเงิน 12,000 บาทต่อคน ไม่ได้มาพร้อมกันทั้ง 200 คน ญาติบางคนก็ทิ้งให้ลูกหลานอยู่นี่ถาวร ไม่ได้มีการติดต่อเข้ามาช่วยเหลือหรือจ่ายเงินเพิ่ม ซึ่งทางเจ้าอาวาสเองก็ต้องควักเงินออกเองทั้งหมด