จากกรณี นายนรพร พรหมบุตร อายุ 39 ปี วิศวกรยานยนต์ บริษัทรถยนต์ชื่อดัง ระบุว่า ช่วงเวลา 02.00 น. ของคืนวันที่ 13 ต.ค. ที่ผ่านมา เรียกรถแท็กซี่ ไม่ทราบยี่ห้อและหมายเลขทะเบียน จากบริเวณหน้าร้านอาหาร ย่านเอกมัย พร้อมกับมีอาการเมาสุรา ต่อมาได้ถูกทิ้งไว้ที่ข้างถนนศรีนครินทร์ ในสภาพเลือดโชกเต็มตัว และทรัพย์สินหายได้สูญหายไปทั้งหมด ประกอบด้วยสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท นาฬิกาข้อมือ โทรศัพท์มือถือ แว่นสายตา และเงินสดอีก 3,500 บาท รวมมูลค่าทรัพย์สินที่สูญหายประมาณ 100,000 บาท
หลังจากนั้น มีกลุ่มวัยรุ่นได้เข้ามาทำร่ายร่างกาย โดยกล้องวงจรปิดสามารถบันทึกเหตุการณ์ไว้ได้
ต่อมา ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.ประเวศ สามารถจับกลุ่มวัยรุ่นผู้ก่อเหตุได้ 3 คน คือ นายพีรวิชญ์ ปุตตจินารักษ์ หรือ ตง อายุ 24 ปี, นายเฉลิมเกียรติ หุ่นน้อย อายุ 22 ปี และนายทรงเดช ปุตตะจินรักษ์ หรือ ตี๋ อายุ 22 ปี โดยทั้งหมดให้การรับสารภาพว่าก่อเหตุจริง ยอมรับว่าเอาทรัพย์สินไปเพียงแค่นาฬิกา และโทรศัพท์มือถือ ก่อนถูกตำรวจนำตัวไปฝากขังที่ศาลจังหวัดพระโขนง เมื่อช่วงเช้าวันที่ 19 ต.ค. 61 โดยผู้กำกับการ สน.ประเวศ ยืนยันว่า นายตงสามารถให้การได้อย่างมีสติ ต่างจากข้อมูลที่ก่อนหน้านี้ เจ้าตัวเคยเป็นพยานในคดีแทงนายธนิต ทัฬหสุนทร หรือ เต้ นักศึกษาอุเทนถวาย ที่เสียชีวิต หลังจากถูกแทงเมื่อช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2559 (อ่าน :
ตร.ชี้พิรุธ “นายตง” พยานปากเอกคดี “เต้” ลูกชายโดดตึกศาล ไม่ป่วยจิต พบให้การมีสติหลังก่อเหตุชิงทรัพย์วิศวกร)
ด้าน
นายชาย (นามสมมติ) พ่อของนายพีรวิชญ์ หรือ ตง และนายทรงเดช หรือ ตี๋ ปุตตะจินารักษ์ 2 ใน 3 ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุทำร้ายร่างกายนายนรพร เปิดเผยว่า ได้ไปเยี่ยมลูกชายเมื่อวานที่ผ่านมา (18 .ต.ค 61) โดยได้ไปพูดคุยกับลูก ซึ่งนายตงถามตนเรื่องการประกันตัว ส่วนตัวก็บอกลูกชายไปตรง ๆ ว่า ยังไม่มีเงิน ที่ผ่านมาส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยหลักสูตรนานาชาติ จนเงินหมดแล้ว เพราะตนหวังว่าให้ลูกได้เรียนสูง ถึงแม้บ้านไม่มี ก็ไม่เป็นอะไร ทั้งนี้ ศาลเรียกวงเงินประกันสูงถึงคนละ 400,000 บาท ลูก 2 คน ก็ต้องหาเงินถึง 800,000 บาท
ส่วนเหตุการณ์ทำร้ายนายนรพร ตนได้สอบถามลูกชาย ทราบว่าเกิดจากอาการเก่ากำเริบ เนื่องจากยาประจำตัวขาด เพราะตนไม่ได้พาลูกไปรับยานานกว่า 2 เดือนแล้ว ด้วยภรรยาตนเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศ ประกอบกับตนเพิ่งฟื้นจากอาการป่วย เพราะถูกรถชน ทำให้ไปไหนไม่ได้ ทั้งนี้ หลังจากนายตงขาดยา จึงทำให้คุมตัวเองไม่ได้ ประสาทหลอน ด้วยโรคที่เป็นอยู่ ช่วงเกิดเหตุลูกก็บอกว่าตอนนั้นไม่รู้ตัว มีอาการหลอนเหมือนเห็นอริที่เคยมีปัญหากัน จึงเข้าทำร้าย โดยกรณีการทำร้ายร่างกายนั้น นายตงยอมรับว่า กระทำจริง ส่วนอีก 2 คนไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วย โดยมีนายตงบอกให้ทำอะไรก็ทำ
ส่วนเรื่องการปล้นทรัพย์ ลูกตนปฏิเสธว่า ไม่ได้หวังปล้น และที่ผ่านมาก็ไม่เคยปล้น หรือชิงทรัพย์ เป็นเพียงการกรรโชกทรัพย์ คล้ายกับไปข่มขู่ผู้เสียหาย ซึ่งไม่เคยลงมือทำร้ายร่างกาย บางครั้งไปกรรโชกทรัพย์ผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายไม่มีเงิน ลูกตนก็เอาเงินตัวเองให้เขาไป มีครั้งหนึ่งไปกรรโชกทรัพย์ด้วยการเปลี่ยนรองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังของตัวเอง กับรองเท้าแตะของผู้เสียหาย ซึ่งก็ถูกแจ้งข้อหาชิงทรัพย์ ตนยอมรับว่า ลูกตนเพี้ยนมากแล้ว
นายชาย กล่าวต่อว่า นายตงมีคดีติดตัวจริง แต่ศาลตัดสินให้ไปรักษาตัวเอง เพราะหมอผู้รักษาไปเบิกความต่อหน้าศาล ยืนยันเองว่า ลูกชายตนป่วย เคยเครียดถึงขั้นจะฆ่าตัวตาย ด้วยการกินยาเกินขนาดมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ตนส่งโรงพยาบาลทัน จึงรอดชีวิตมาได้ ส่วนก่อนเกิดเหตุล่าสุด ตนไม่ทราบเรื่อง หลังเกิดเหตุลูกก็กลับบ้านปกติ ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง ยังไปทำงานตามปกติ ซึ่งถือว่าลูกชายอาการดีขึ้นมากว่าแต่ก่อนมาก เพียงช่วงนี้มีอาการ เพราะขาดยา ตนเคยส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลผู้ป่วยทางจิตเวชมาหลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งที่ต้องไปอยู่โรงพยาบาล ตนก็สงสาร เพราะลูกเหมือนหุ่นยนต์ ไม่ใช่คน เพราะยาที่ฉีดให้ลูกชายจะเป็นยาออกฤทธิ์แรง คุมร่างกายไว้ทั้งหมด ตนสงสาร จึงไปรับตัวกลับมาเพื่อให้เขาได้เข้ากับสังคม
นอกจากนี้ สำหรับนายตี๋ ลูกชายอีกคน ปกติเป็นคนเงียบ ๆ พี่ชายบอกให้ทำอะไรก็ทำ ที่ผ่านมา ตนเตือนลูกเสมอ มักห้ามปรามไม่ให้ออกจากบ้านช่วงกลางคืน เพราะห่วงว่าจะเกิดปัญหา แต่ตนก็ดูลูกไม่ได้ตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ตนต้องขอโทษสังคมด้วย อยากให้เห็นใจ และเข้าใจคนที่ป่วย ตนเคยคิดปล่อยลูกชายโดยไม่เหลียวแล แต่เมื่อมองกลับมา ก็รู้ว่าเขาไม่ปกติ เขาต้องการคนดูแล หากตัวเองป่วย ก็คงต้องการให้มีคนดูแล หากเลือกได้ คงไม่มีใครอยากป่วย
สำหรับกรณีมีการโยงนายตง ลูกชายตน ไปถึงการเป็นพยานให้กับคดีนายธนิต ทัฬหสุนทร หรือ เต้ นักศึกษาอุเทนถวาย ที่ถูกแทงเสียชีวิตย่านประชาสงเคราะห์นั้น ตนขอยืนยันว่า ลูกได้พูดสิ่งที่เห็นไปหมดแล้ว และนายเบนซ์ ก็รับโทษไปแล้ว เพราะนายตงเห็นเพียงที่นายเบนซ์ใช้อาวุธบางอย่างทุบตีนายเต้ จนมีเลือดออก แต่นายตง ก็ยืนยันว่า ไม่เห็นขณะมีคนร้ายใช้อาวุธมีดแทงนายเต้จนเสียชีวิต เพราะหลังเกิดเหตุ ลูกชายกลับมาบ้าน ตนยังถามหาเต้ ลูกชายตอบเพียงว่า ไม่รู้ และคิดว่าต่างคนต่างกันแยกกลับ
ทั้งนี้ ตนก็เคยคุยกับนายศุภชัย ทัฬหสุนทร พ่อของนายเต้ ที่กระโดดจากตึกศาล ด้วยเช่นกัน และเคยชี้แจงเรื่อง จนเข้าใจกันถึงสาเหตุที่ลูกชายไม่สามารถเป็นพยานให้ได้ แต่ไม่แน่ใจว่าครอบครัวจะทราบหรือไม่ เพราะตนติดต่อกับนายศุภชัยเพียงคนเดียว