จากกรณี นายไพศาล เรืองฤทธิ์ ทนายความและนายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ หมอปลา จากเพจหมอปลาช่วยด้วย นำผู้เสียหายมายังกระทรวงสาธารณสุขเพื่อร้องเรียนให้ตรวจสอบศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดที่วัดแห่งหนึ่ง ในอ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรีหลังพบว่าไม่เป็นไปตามกฎระเบียบของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด
วันที่ 22 ก.ย. 64 ทีมข่าวเดินทางมาที่ค่ายฝึกเขาชนไก่ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา มีญาติพี่น้องของผู้บำบัดทยอยกับเข้ามารับบุตรหลาน จากเดิมจำนวนผู้บำบัดในวันแรกมีทั้งหมด 254 คน และเมื่อวานนี้ได้มีญาติของผู้บำบัดส่วนหนึ่งเข้ามารับแล้ว เมื่อคืนนี้ มีผู้บำบัดพักที่ศูนย์ทั้งหมด 88 คน และวันนี้มีผู้บำบัดที่ญาติยังไม่มารับอีก 28 คน มีผู้ใจบุญนำของมาบริจาคอยู่ตลอดทั้งวัน อาหารกล่อง และขนม แต่สิ่งที่ผู้บำบัดต้องการมากที่สุดคือเสื้อผ้าและยารักษาโรค
นายธวัชชัย ผู้บำบัดรายหนึ่งจาก จ.กาฬสินธุ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนยังติดต่อญาติไม่ได้ แต่ตอนนี้อาการยังปกติดี เพราะตอนที่ตนมา ตนไม่ได้มีอาการติดยา ทั้งนี้ตนมาอยู่วัดประมาณ 4 เดือนแล้ว เท่าที่ตนทราบชุดจับกุมของจังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดร้อยเอ็ดเป็นคนละกลุ่มกัน แต่ชุดที่พาส่งที่วัดคือชุดเดียวกัน
การใช้ชีวิตอยู่ในศูนย์บำบัดค่อนข้างจะลำบาก เวลากินข้าวก็ต้องแย่งกันกิน บางคนก็กินไม่ทัน เช่น ลุงเสา ผู้บำบัดรายหนึ่งที่มีอาการจิตไม่ปกติ มักจะถูกแย่งข้าวจนร่างกายซูบผอม ลุงเสามาประมาณ 5-6 เดือนได้แล้วมาจาก จ.กาฬสินธุ์ เช่นกัน อีกทั้งเวลาอยู่ที่นั่น จะถูกบังคับและถูกตีตามร่างกาย ซึ่งทุกคนจะต้องยอม และไม่สามารถต่อสู้ได้
นายเสา ผู้บำบัดที่มีอาการทางจิต ซึ่งยังคงมีอาการหลอน และมักจะพูดคนเดียวไม่หยุด และมักจะคิดว่ามีคนมากระซิบข้างหู แต่ไม่ได้มีพฤติกรรมรุนแรง รือทำร้ายใคร อีกทั้งยังเป็นคนที่อารมณ์ดี เมื่อทีมข่าวพูดคุยก็พูดคุยไปเรื่อย ไม่ได้ใจความ และทำเสียงพากย์หนังให้ทีมข่าวดู ล่าสุด ผู้บำบัดรายนี้ทางญาติพี่น้องยังไม่ได้เข้ามารับ
นายประพันธ์ ชูศรีจันทร์ อายุ 58 ปี ผู้คุมผู้บำบัด บอกว่า ตนเป็นอาสาสมัครกู้ภัยได้ประมาณ 7 ปี ขณะก็ทำงานเป็นผู้คุมศูนย์บำบัดมาแล้ว 7 ปีจะเข้าเวรควบคุมแค่ตอนกลางวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น. โดยมีผู้คุมมากกว่า 17 คน ที่ช่วยในการดูแลเวลาผู้บำบัด โดยจะมีเบี้ยเลี้ยง 200 บาท ส่วนตนเป็นคนเปิด-ปิดประตูโรงนอน ช่วยควบคุมให้อยู่ในพื้นที่
เวลาผู้บำบัดทำกิจกรรมในเวลากลางวัน เช่น รับประทานอาหารเช้าและกลางวัน อาบน้ำ ซักผ้า โกนผม ซึ่งเปิดให้ใช้พื้นที่บริเวณโดยรอบโรงนอน มีความจำเป็นจะต้องเข้มงวด เพราะจะมีผู้บำบัดที่ประพฤติไม่ดีจ้องหนีออกจากวัด ตนก็เคยถูกผู้บำบัดต่อยบริเวณใบหน้า ตอนที่กำลังตามตัวเข้าโรงนอน
จากการที่มีผู้บำบัดออกไปที่เขาชนไก่แล้วอ้างชื่อว่าตนเป็นผู้รังแก ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง ตนเคยใช้ไม่เรียวตีจริง แต่เป็นการตีสั่งสอน และไม่ได้รุนแรง ส่วนใหญ่จะใช้เสียงดังในการข่มขู่มากกว่า จึงมองว่าเป็นการพูดเกินจริง คนที่อยากกลับบ้านก็สามารถพูดได้ทั้งหมดเพื่อให้ได้กลับบ้าน ส่วนผู้เสียชีวิตตนไม่เห็นกับตา เพราะเขาเสียตอนกลางคืน แต่ก็ทราบว่าเสียชีวิตจากโรคประจำตัว
ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้ตนสูญเสียรายได้พอสมควร เสื่อมจากดูแลมานานและค่อนข้างเคารพพระครูปลัดประสิทธิ์ เจ้าอาวาส เลยเข้าไปช่วยควบคุม หลังจากนี้ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ เพราะยังคงมีภาระที่ต้องรับผิดชอบ ส่วนเรื่องคดีความ ตนไม่กังวลใจ หากจะถูกตรวจสอบเพราะตนทำตามหน้าที่ ไม่ได้ทำอะไรผิด และตนก็พูดความจริงทุกอย่าง
พระเดช (นามสมมติ) พระบำบัด เปิดใจว่า ตนบำบัดอยู่ที่นี่มา 7 ปี ตั้งแต่เป็นฆราวาส 1 ปี มีค่าใช้จ่าย 12,000 บาท จากนั้นทางศูนย์บำบัดก็ให้บวชเณรก่อน มีค่าใช้จ่าย 10,000 บาท บวชได้ประมาณ 3 เดือน ก็มีให้บวชเป็นพระเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 10,000 บาท โดยจากการที่สื่อมวลชนได้มีการนำเสนอข่าวออกไปนั้น ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง เรื่องการรับประทานอาหารนั้นก็ตามสภาพ ได้กินครบมื้อบ้าง ไม่ครบบ้าง บางครั้งก็ถูกทำโทษโดยรับผิดชอบร่วมกัน ด้วยการให้อดข้าวมื้อเที่ยง ซึ่งตอนที่เป็นฆราวาสไปอยู่ในโรงนอนค่อยข้างลำบาก บางทีก็โดนหัวหน้าเรือนนอนทำโทษ แต่พอบวชเป็นพระก็มีการแยกไปอยู่อีกที่ ซึ่งอยู่เป็นห้อง ห้องละ 30 คน มีหมอนกับผ้าห่ม 2 อย่าง ไม่มีอะไรปูพื้น
การโดนทำโทษ ยอมรับว่ามีจริง ส่วนของฆราวาสจะเป็นคนที่คอยควบคุม เป็นคนลงโทษมีการใช้ไม้เรียวตี ส่วนพระบำบัดก็จะเป็นพระหนึ่ง หรือพระชาญวิทย์ เป็นผู้ควบคุม ตนก็เคยถูกทำโทษแบบไม่มีเหตุผล ให้ลุกนั่ง 30-50 ครั้ง ส่วนคนที่ทำผิดหลบหนีก็ยอมรับว่าการทุบตีจริง แต่ไม่ได้รุนแรง
เรื่องค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน มีเงินที่ญาติส่งให้เดือนละ 2,000 บาท แบ่งเป็นคูปองเงินสด 60 บาท ให้ตัวแทนรวบรวมเงินเอาไปซื้อขนมมารวมกัน แล้วแบ่งกันกิน ซึ่งก็จะมีคนอิทธิพลที่จะได้กินเยอะ ส่วนตนได้กินแค่นิดเดียว กินไม่ทันคนอื่น บางเดือนญาติส่งมาให้มากกว่า 2,000 บาท ก็ได้เงินกินขนมแค่วันละ 60 บาทเหมือนเดิม บางทีเห็นญาติคนอื่นเอาของกินดี ๆ มาเยี่ยม ก็อิจฉาคนอื่นเขาเหมือนกัน อยากกินอะไรก็ไม่เคยได้กิน เรื่องข้าวบูดมองว่าเป็นข้าวเก่าที่พระบำบัดหุงกันเอง ปรุงอาหารกันเอง ทำให้ข้าวสุกบ้างไม่สุกบ้าง กับข้าวรสชาติแปลก แต่ก็ต้องกิน
สำหรับการรักษาสำหรับคนที่ป่วยทางจิตเวชก็จะมียาให้รับประทาน ส่วนตนไม่ได้ป่วยจิตเวช ก็ไม่ต้องทานยา ศูนย์บำบัดก็ไม่ได้มีกิจกรรมอะไรให้ทำ นอกจากนั่งสมาธิ สวดมนต์ ทำวัดเช้า-เย็น ตนก็มองว่ามันแค่ช่วยให้เราไม่ไปสนใจกับความอยากเสพยามากกว่า แต่ตนรู้สึกว่าไม่ได้ช่วยให้ตนดีขึ้น หลัง ๆ มาเขาให้สวดมนต์ตนก็นั่งหลับ ในวันนี้มีผู้ปกครองมาเยี่ยม คาดว่าจะมีการสึกและกลับบ้านได้ ซึ่งตนมีบทเรียนที่แสนเจ็บปวดแล้ว จะหางานทำและไม่กลับไปยุ่งกับยาเสพติดอีก