สถานการณ์โควิดกระทบร้านอาหารเป็นยังไงบ้าง?
แบม : ปีนี้เป็นปีที่ 10 แล้วที่ทำร้านมา ก่อนหน้านี้มีอยู่ 8 สาขาในศูนย์การค้าชั้นนำต่างๆ พอเจอโควิดรอบที่1 ก็เซย์ไป ปิดไป 1 สาขา ที่เอสพลานาด แล้วพอมาโควิด 2-3 ก็มีอีกสาขานึง คือ เซ็นทรัลเวสต์เกต ที่หมดสัญญาพอดี เราคิดว่าไม่ต่อสัญญาดีกว่า ก็เลยเหลือแค่ 6 สาขา
ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนเราแบกรับภาระเยอะไหม?
แบม : ต้องบอกว่าหนักมาก ตั้งแต่โควิด1 ยอดขายที่หายไป จากล็อกดาวน์ ปิดร้าน แล้วก็มาตรการต่างๆ คือยอดขายหายไปร่วม 90% ในขณะที่เราเป็นร้านที่มีสาขา เราต้องมีไม่ใช่พนักงานแต่ละสาขา ต้องมีพนักงานครัวกลาง มีพนักงานในส่วนกลางด้วยที่เราต้องดูแล พอโควิด1 เราต้องปิดหมดเหลือแค่สาขาเดียว ทำแค่เดลิเวอรี่ รอวที่ผ่านมาทุกล็อกดาวน์หมดเลย ทุกอย่างอยู่บนออนไลน์ เดลิเวอรี่ อย่างเดียว แต่ต้องหล่อเลี้ยงพนักงานทั้งบริษัทในหลายๆ สาขา และส่วนกลางด้วย มันเป็นอะไรที่ประคองยาก ก็เข้าเนื้อ ทุกร้านอาหาร หรือที่เป็นธุรกิจบริการ ทุกคนต้องแบก
ตอนนี้เป็นยังไงหลังจากเปิดร้านอาหารได้แล้ว?
แบม : ด้วยมาตรการต่างๆ แล้วด้วยตัวเลขมันไม่ได้อยู่ในจุดที่พวกเรามั่นใจ คนก็ยังไม่ได้กลับไปเท่าเดิม เพราะตอนนี้มาตรการรับลูกค้าได้แค่ครึ่งนึง ซึ่งครึ่งนึงมันไม่สามารถมาต่อสู้กับค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อยู่แล้ว แต่เราก็พยายามหากลยุทธิ์ หารายได้ทางอื่น ทำออนไลน์ สร้างแบรนด์ใหม่ๆ เปิดเพื่อให้รายได้อื่นๆ เข้ามา จริงๆ ตอนนี้เป็นนโยบายแบบประคับประคอง
พี่แบมได้บทเรียนจากครั้ง1-2-3 ยังไงบ้าง?
แบม : ทุกอย่างมันอยู่ที่พยายามปรับตัวให้เร็วที่สุด ทำให้เรารู้ได้ว่าบางสิ่งบางอย่างมันเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วอย่างที่เราคิด ภายใต้แรงกดดัน เพราะว่ามันไม่มีประตูออกแล้ว มันไม่มีทางเลือก เหมือนมันบีบคลั้นให้เราเข้าไปจัดการกับสิ่งที่เกิดขึ้น มุมนึงเราก็เหนื่อยกับการที่ต้องฝ่าฟันต่อสู้ ประคับประคอง อีกมุมนึงแบมก็พูดอยู่อสมอว่า บางครั้งก็ขอบคุณโควิดนะที่มาเร่งอะไรหลายๆ อย่างที่เราจะต้องทำ
มีช่วงนึงพี่แบมดังมาก ขึ้นหน้า 1 จากอุบัติเหตุ ตอนนั้นเหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง?
แบม : ตอนนั้นยังไม่เข้าวงการด้วย อายุ 17 ปี อยู่มัธยมปลาย ก็มีบทบาทในโรงเรียนบ้าง เลิกเรียนวันนั้นก็ไม่ได้ไปไหน เดินๆ รอรถมารับอยู่ แล้วอยู่ดีๆ เหมือนมีรถซิ่งแหกโค้งเข้ามาในโรงเรียนรอบสนามฟุตบอลแล้วดึงเบรกมือ ก็เลยกวาดนักเรียนไปประมาณ 9 คน
9 คน เห็นว่าพี่แบมหนักสุด ?
แบม : ก็เป็นผู้หญิงคนเดียว ถ้าจะพูดถึงความหนัก จริงๆ ก็มีอีกคนก็หนักพอๆ กัน เขาก็โดนเข้าข้างหลังขาหัก 2 ข้าง แต่ในแง่ของแผลที่เกิดขึ้นภายนอกเราเหมือนหนักสุด แล้วก็ใช้เวลาในการรีกษาค่อนข้างนาน เพราะมันเป็นเรื่องของเอ็นที่เท้า เท้าขวาเหมือนตัดจะขาดไปเลย ใต้เท้าคือเป็นแผลเย็บแบบยาวเลย พูดง่ายๆ คือส้นเท้าไม่มี
เห็นว่าต้องระวังการติดเชื้อของแผลมาก เพราะมีโอกาสที่จะต้องตัดขา?
แบม : ใช่ค่ะ หลังจากนั้นก็นำไปสู่กระบวนการรักษา แล้วแผลเปิดแบบกระจาย แล้วมีการติดเชื้อ ต้องเข้าห้องผ่าตัดทุกวัน ต้องใช้ยาฆ่าเชื้อขนาดที่ดีมาก ตอนนั้นหมอเริ่มบอกแล้วว่าโอกาสที่จะกลับมาเดินปกติอาจจะไม่มีหรือเหลือน้อย เหมือนกับว่าเราอาจจะเท้าไม่เท่ากัน แล้วหวังว่ามันจะไม่มีการติดเชื้อที่รุนแรงแล้วมันจะลาม จนนำไปสู่การตัดส่วนของรางกายออกไป
รักษาตัวนานไหม?
แบม : ก็อยู่โรงพยาบาลหลายเดือนนะคะ สุดท้ายพอออกมาได้ก็ต้องเข้าเฝือกนานร่วมปี ต้องกายภาพบำบัด ทำหลายอย่าง ซึ่งมันเป็นปราฏิหาริย์สำหรับเราเหมือนกันนะว่าเราผ่านจุดนั้นมาได้ยังไง แล้วตามมาด้วยเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตอีกมากมาย เข้าวงการอย่างนี้ จากจุดที่เราเกือบเป็นคนที่เดินไม่ได้
ปัจจุบันนี้มันยังมีแปลบๆ หรือยังมีความรู้สึกอยู่ไหม?
แบม : ทุกวันนี้ความเจ็บมันไม่เคยหายเลย ส้นเท้าเรามันหายไป เขาเอาเนื้อเซลบางอย่างในร่างกายไปปลูกด้วย เพื่อให้มันหนาขึ้น ซึ่งเวลาเดินลงส้นเท้านี่เจ็บตลอด แล้วเสียดสีก็จะมีเลือดออก เอ็นก็จะเจ็บตลอด คือเจ็บจนเป็นปกติ จนเป็นเรื่องที่มันเป็นส่วนนึงของชีวิตไปแล้ว นั่งๆ อยู่ๆ ก็เจ็บ อะไรแบบนี้ คือเฉียดความเป็นผู้พิการ จะบอกว่าตอนนี้มีความพิการเล็กน้อยก็ได้นะ เพราะมันไม่ครบนะ ร่างกายเราไม่ได้ครบส่วน
พี่แบมเคยมีความรู้สึกมันเป็นปมด้อยไหม?
แบม : ตอนแรกๆ ที่เข้าวงการมันก็จะมีการถ่ายแบบ หรือเป็นพิธีกร ซึ่งมันต้องโชว์ ก่อนหน้านี้จะไม่ค่อยอยากเปิด ก็ใส่แล้วเอาผ้าปิด เพราะเมื่อก่อนแผลจะช้ำชัดด้วย ก็อาย คนเขามองว่าเท้าเราเป็นอะไร แต่ว่าสุดท้ายแล้วมันก็เป็นตัวเรา หลายๆ อย่างที่มันเกิดขึ้นในชีวิต เราก็ก้าวมาทำทั้งๆ ที่มันมีตำหนิแบบนี้ ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรในการที่เราทำหลายๆ สิ่งในชีวิต
พี่แบมเข้าวงการมาได้ยังไง?
แบม : เหตุการณ์นี้น่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตละ ก็ไม่คิดนะว่าวันนึงจะมีโอกาสได้เข้ามาอยู่ในสปอตไลท์ โดยเฉพาะในวงการบันเทิง มาโชว์ถ่ายแบบหรืออะไรแบบนี้ แต่ในที่สุดพอเข้าจุฬาได้ ก็มีโอกาสได้เข้าไปทำงานในโครงการถวายสมเด็จ แล้วก็ท่านผู้หญิงวิยะฎา กฤดากร จากตรงนั้นก็เลยมีภาพเข้าไปอยู่ในหน้าสังคม แล้วก็ไปเจอกับพี่ชาลี ซึ่งเป็น บก.นิตยสารดิฉันโดยบังเอิญ ซึ่งพี่ชาลีอาจจะเห็นหน้า เห็นตามาบ้างแล้ว พี่ชาลีก็เลยชวนมาถ่ายปกนิตยสารดิฉันกันไหม ตอนนั้นเราก็ดีใจมาก อยู่น่าจะประมาณปี1 แล้วขาเราก็ไม่ได้สวย
แต่พี่ชาลีก็บอกว่าเนี่ยมาถ่ายปกกัน ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นเป็นที่รู้จัก แต่จุดที่เป็นที่รู้จักจริงๆ คือตอนปี4 ที่เป็นดัมอมเยอร์ฟุตบอลประเพณีจุฬา-ธรรศาสตร์ 50 ปี กับพี่ตั้ว ศรัณยู พี่แหวน ธิติมา น้องอร อรอนงค์ ตอนนั้นก็เลยมีโอกาสได้มาเจอกับคุณวิทวัจน์ ในรายการ ตีสิบ โดยมาสัมภาษณ์แบบหมู่คณะ แล้วอีก 2 วันทีมงานตีสิบก็ติดต่อมาอยากเชิญมาสัมภาษณ์เดี่ยว
เพื่อจะรู้ว่าเราเป็นใครมาจากไหน อาจจะเป็นเพราะ 3 ท่าน คนนึงก็นางสาวไทย อีก 2 ท่านก็ดารา ก็เลยมีโอกาสได้เจอคุณวิทวัจน์ หลังจากนั้นก็มีคนติดต่อให้ไปถ่ายนิตยสาร ให้ไปถ่ายผลิตภัณฑ์หลายๆ อย่าง
แล้วจริงๆ พี่แบมชอบวงการบันเทิงไหม?
แบม : ทุกวันนี้ยังคิดถึง ก็เป็นอะไรที่สนุก จริงๆ อยู่ในรายการตีสิบ อาจจะ 3 ปี แต่ว่าเริ่มต้นตั้งแต่เป็นพิธีกรรายการอื่นๆ รวมๆ แล้วน่าจะมี 5 ปี ก็สนุกและมีความสุขที่ได้ทำ
ตอนนั้นมีคนชวนไปเป็นนักแสดงบ้าฃไหม?
แบม : มีค่ะ ยังคิดเสียดายอยู่เลยนะ ตอนนั้นน่าจะไปเล่นสักหน่อย มันจะเป็นอะไรที่เป็นประสบการณ์ ซึ่งตอนนั้นถามว่าทำไมไม่ไป จริงๆ เป็นคนขี้เกียจ คือรู้ว่านักแสดงต้องทุ่มเทมาก เวลาไปออกกอง คิวได้ยินเวลาเขาเล่าว่าต้องรอ เรารู้สึกว่าขี้เกียจไปนั่งรอถ่าย แล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่บทบาทของเรา ก็เลยไม่เอาดีกว่า ไม่น่าจะเป็นเรา
จากพิธีกร มาเล่นการเมือง มันคนละทางกันเลย?
แบม : พอเรียนจบกลับมา ก่อนที่จะไปเป็นพิธีกรตีสิบ กลับมาเมืองไทยรับราชการก่อน แล้วไม่ได้มีความคิดเลยจะมาทำพิธีกรจริงจัง แต่พอมาทำปั๊บทำให้คนเห็นหน้าเราในความเป็นสาธารณะ และในหมวดที่เราเป็นข้าราชการก็เลยมีโอกาสได้เจอพวกผู้หลัก ผู้ใหญ่ที่เป็นนักการเมืองอยู่บ่อยครั้ง แล้วก็บทสัมภาษณ์ที่ออกมาเรามีความสนใจ เพราะเราเรียนรัฐศาสตร์
แล้วก็เรียนโทด้านนี้ ก็เลยเกิดการทาบทามว่ามาลง สส.ไหม เป็นข้าราชการก็ทำงานให้ประเทศได้นะ แต่ถ้าเป็นนักการเมือง เป็น สส. ถ้าได้ร้บเลือกตั้งเป็นปากเป็นเสียงให้ประชาชนเลย ทำได้หลายเรื่องมาก ก็ตัดสินใจอยู่พอสมควร เพราะตอนนั้นก็เป็นพิธีกรแล้วด้วย รายการตีสิบ อะ เพราะเรารู้ว่าเราต้องออกจากตรงนั้น ห้ามเป็นคู่กัน
แสดงว่าเป็นความชอบตั้งแต่ทุนเดิมสำหรับการเป็นนักการเมือง?
แบม : ต้องบอกว่าโดยพื้นฐานจริงๆ ลึกๆ คุณแม่ก็รัฐศาสตร์ แล้วคุณแม่ให้เราเข้ารัฐศาสตร์ แล้วมาทำงานราชการจริงๆ คุณแม่เป็นคนชอบการเมือง จริงๆ คุณแม่อยากให้เราทำงานราชการ หรืไปเป็นนักการเมืองอยู่แล้ว ซึ่งถามว่าตัวเองชอบไหม เราก็ทำได้ แล้วเราก็สนใจเรื่องบ้าน เรื่องเมือง แต่ว่าไม่ได้คิดว่ามันจะเร็วขนาดอายุ 26 ปีที่จะก้าวออกไปเลย แต่สุดท้ายตัดสินใจ เพราะได้รับโอกาสที่ดี
พอเข้ามาในวงการนักการเมืองก็มีคนโทรมาขู่ มันมาได้ยังไง?
แบม : พี่เป็นสส. เป็นนักการเมือง รวมกันแล้ว 2 สมัย แล้วก็ 8 ปี สมัยแรกเป็นแบบบ้ญชีรายชื่อ คือเลือกมาจากพรรคแล้วอราได้ แร่สมัยที่สอง เราไปลงเลือกตั้งป
แบบแบ่งเขต คือเป็นตัวแทนในการหาเสียง พอเราลงพื้นที่มีผู้คนหลากหลายต่อสู้ มีการแข่งกันในพื้นที่ค่อนข้างเยอะมาก ดุเดือด หลายกลุ่มหลายพวก อย่างว่าคนที่ลงแข่งเขาอาจไม่ชอบเรา ก็เจอเรื่องน่ากลัวๆ ตอนนั้นอายุประมาณใกล้ 30 ปี
ตอนนั้นกลัวไหม?
แบม : ตอนนั้นตัวคนเดียวลุคบู๊ ทีมเวิร์ก พักพวกเยอะก็ไม่กลัวนะคะ เราก็ซ่า
พี่แบมจัดการกับความรู้สึกตรงนั้นได้ยังไง?
แบม : พอได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่ พอเราลงไปเขาเฮ เขาอยากให้เรามา มันเหมือนฮึกเหิม แล้วก็ไม่แคร์ เรารู้สึก เรามีประชาชนเป็นโล่ ถ้าอะไรเกิดขึ้นมันคงเป็นเรื่องอะไรที่ไม่น่าจบง่ายๆ แล้วตัวคนทำก็ต้องเจออยู่แล้ว ก็เลยคิดว่าไม่น่ามีใครกล้าเอาตัวเองมาเสี่ยง ก็น่าจะเป็นคำขู่
เห็นว่ามีเอาปืนมาขู่ลูกน้องพี่แบมด้วย?
แบม : ใช่ ก็หลากหลาย บางทีเราไปออกงาน บางทีมีคนกินเหล้าเมา มาทีก็มาแบบอะไรอย่างนี้ แต่เราก็รู้อยู่แล้วว่าพื้นที่ไหน จุดเสี่ยงเป็นยังไง อันตราย เราก็จะมีทีมงานที่เข้าไป คือไม่เคยไปไหนคนเดียว
มีท้อไหม?
แบม : มีเหนื่อยเป็นพักๆ ท้อมีเป็นระยะๆ แต่ว่าเราเป็นคนอึด เหนื่อยๆ พอนอนข้ามคืนเหมือนมันรีชาร์จ มันก็เลยไม่ค่อยรู้สึกว่าจะถอย
แล้วกับข่าวลือต่างๆ เหมือนเมาท์พี่แบมว่าเป็นภรรยาน้อยบ้าง เวลาเราได้ยินรู้สึกยังไงบ้าง?
แบม : จริงๆ ตั้งแต่เข้าวงการการเมืองมันก็จะมีมาตลอด ซึ่งจริงๆ เราเตรียมตัวในระดับนึง เรารู้อยู่พอสมควรว่ามาเป็นนักการเมือง มันเป็นกลยุทธอ่ะในการที่จะดิสเครดิตอีกฝั่งนึง เวลาได้ยินเราก็เซ็งนะ เพราะตอนที่เราอยู่วงการบันเทิง มันมีแฟนคลับ เราไม่ค่อยโดนอะไรแบบนี้ เป็นที่รัก แต่อยู่ดีๆ เราต้องมาโดนแบบว่าป้ายสีอะไรแบบนี้
แบมเชื่อว่าสุดท้ายความจริงก็ต้องปรากฏออกมาว่ามันเป็นยังไง อย่างเรื่องที่โดนกับท่านหัวหน้าพรรคในยุคนั้น ก็จะเป็นประเด็นโจมตี เพราะว่าท่านหัวหน้าพรรคก็เอ็นดูแบมจริงๆ ในการทำงาน เพราะเราก็เป็นคนทำงานให้พรรค แล้วก็การทำงานของเราในยุคนั้นก็พิสูจน์คนที่ติดตามการเมืองในยุคนั้น คนที่ออกมาแสดงและหลุดพ้นจากราคีนี้ก็คือภรรยาและลูกสาวของท่านหัวหน้าพรรค
แล้วมีคนคิดต่อจริงๆ ไหม เพราะพี่แบมทั้งสวย ทั้งสาว และอยู่ตรงนั้น น่าจะมีผู้ใหญ่ที่เขามองพี่เหมือนกัน?
แบม : มันก็คงจะมีนะ แต่ว่าเราก็ต้องมีวิธีหลบหลีก เอาตัวรอด
แต่ว่าสุดท้ายก็มาพบรักกับคุณสามี?
แบม : ตอนนั้นกำลังจะคบสมัยของการเป็น สส.แล้วนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ต้องมีการยุบพรรค พอเราผ่านการเลือกตั้งไปก็มีเหตุการณ์การยุบพรรค แล้วก็พรรคการเมืองที่สังกัดโดนคำสั่ง กรรมการบริหาร ซึ่งเราเป็นหนึ่งในนั้นด้วยต้องเว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี เราก็เลยโอเค ทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็เลยเริ่มกลับมาใช้ชีวิตที่เป็นตัวของตัวเอง
หลังจากเกือบ 10 ปีไม่เคยไปนั่งฟังเพลงข้างนอก ใช้ชีวิตสาวๆ วัยรุ่น ก็เลยมีโอกาสได้ไปแล้วไปเจอกับพี่โบ๊ทโดยบังเอิญที่สถานที่นั่งฟังเพลงที่นึง เราเห็นหน้าเขาแบบไม่รู้ทำไมหน้าเขาเตะตาเรา เราคิดในหัวว่าเด็กคนนี้หน้าตาบ๊องแบ๊วจังเลย
ทำไมถึงใช้คำว่าเด็ก?
แบม : เพราะคิดว่าเขาอายุน้อยกว่า ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นรุ่นพี่
เห็นแล้วสเปคเลยไหม?
แบม : ไม่ๆ เห็นแล้วแบบเหมือนเราเห็นดาราคนนึง ว่าเออ...น้องคนนี้หน้าตาดีนะ แต่ว่าพอเวลาผ่านไปสักพัก อยู่ดีๆ ก็แบบแบมๆ นี่แนะนำให้รู้จักรุ่นพี่โรงเรียนสาธิต หันไปเอ้า...เด็กคนเมื่อกี้ ยกมือไหว้แทบไม่ทัน ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้แนะนำให้รู้จัก
แล้วต่อเนื่องกันยังไง?
แบม : เราก็แบบว่า...สวย ไม่รวย แต่หยิ่งนะ เขาก็ขอเบอร์หน่อย แต่เราเป็นคนที่แบบอยู่ดีๆ ไม่ไปให้เบอร์โทรศัพท์กับใคร ในความรู้สึกแบบไม่ได้ให้เบอร์ผู้ชายแปลกหน้า เหมือนเราแบบมีใจ ก็ไม่ให้ เปลี่ยนเรื่อง แต่เราก็รู้ว่าเดี๋ยวเขาก็คงเอาได้แหละ
แล้วนานขนาดไหนพี่ถึงเปิดใจแล้วได้คุยกัน?
แบม : ก็น่าจะประมาณสักเดือน สองเดือน เขาก็โทรมา เริ่มคุยโทรศัพท์ตอนนั้น แต่ว่าไม่ไปกินข้าวกับเขาเลยนะ เรามีความรู้สึกแบบถ้าเราไม่ได้รู้จัก ไม่ได้เป็นเพื่อนของเพื่อนที่เราแบบว่าคุ้นเคยแล้ว ไปนั่งทานข้าวด้วย ยุคนั้นเดี๋ยวจะมีความรู้สึกว่าเรามีใจให้ เสียฟอร์มเรา ไม่ไป ทั้งที่จริงๆ แล้วต้องไปตั้งนานแล้วนะ
สุดท้ายแล้วทำไมถึงต้องไป?
แบม : มันมีเหตุการณ์ที่ต้องเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศ ที่อเมริกาประมาณ 3 สัปดาห์ เขาก็บอกว่ามาเถอะ มาเจอกัน ทานข้าว ไม่มีอะไรกินข้าว คุยกันได้ เราก็มานั่งคิด เราก็ 30 กว่าแล้วจะมาอะไรกันมากมาย ก็เลยโอเคไปก็ได้ ก็เลยได้ไปทานข้าวกัน 1 มื้อก่อนที่จะเดินทางไปต่างประเทศ
บรรยากาศเป็นยังไงบ้าง?
แบม : ก็เคร่งเครียด พี่โบ๊ทเขาสนใจเรื่องเหตุการณ์บ้านมือง เขาเป็นคนคุยที่มีสาระ ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่เคยคุยกับผู้ชายที่มาเดทหรือมาจีบในลักษณะประมาณนี้ ก็แปลกใจนิดนึง ก็โอเคเขามีอีกมุมนึงที่เราไม่เคยเจอ ข้ามคืนนั้นก็ไปต่างประเทศ ก็คุยกันผ่านวีดิโอคอล แล้วพอถึงวันที่แบมจะต้องกลับเมืองไทยแล้ว ตอนนั้นอยู่ซาฟราน มันใกล้ถึงเดือนตุลาคมคือวันเกิด เขาก็บอกว่าเดี๋ยวกลับมา มากินข้าวที่กรุงเทพด้วยกันนะหลังวันเกิด เราโอเค แต่เขาบอกว่าที่นัดไว้ทานข้าวยกเลิกนะ ตอนแรกก็แบบอะไร เขาบอกเดี๋ยวจะบินไปทานที่นั่นด้วย
พอเขาบอกเดี๋ยวบินมา พี่เชื่อไหม?
แบม : ช็อก คือแบบนี่อีก 3 วันจะกลับนะ จะมาเหรอ มาได้ยังไงเขาก็บอกไป เดี๋ยวไปพรุ่งนี้เลย
รู้สึกยังไงพอเขามาเซอร์ไพรส์ถึงที่?
แบม : เป็นอะไรที่ประทับใจนะ แล้วมา 2-3 วัน ก็รู้สึกว่าเขาก็ต้องชอบเราจริงนะ
วันนั้นตัดสินใจเป็นแฟนกันเลยไหม?
แบม : ค่ะ ก็กลับมาก็คุยกันต่อ จริงๆ เราก็เริ่มผู้ใหญ่กันแล้ว เป็นคนใกล้ชิดกันไม่ได้ประกาศอะไรว่าเป็นแฟน แต่ก็คือคบกัน
มีทะเลาะกันถึงขั้นบอกเลิกไหม?
แบม : มีนะคะ ส่วนใหญ่บางทีพี่ก็บอก บางทีก็ไม่ได้บอก ก็แบบว่าห่างๆ กันแล้วกัน แต่ก็ไม่กี่วันหรอก คิดว่าต่างคนต่างกลัวมากกว่า คือเขาก็จะ 40 แล้ว เขาจะต้องแต่งงาน เขาไม่อยากจะคบใครแบบหลายๆ คน มันเลยเป็นความรู้สึกแบบกลัวมากกว่าตกลงมันใช่ไหมเนี่ย เหมือนระแวงกันไปมา ถามว่าใครง้อใคร ก็ง้อกันไปมา แต่จริงๆ เขาไม่ชอบคนขี้งอลนะ ถ้าเรางอลแบบงุ้งงิ้งเขาจะไม่ แต่ถ้าเขารู้สึกว่าที่เราโกรธกันมันเป็นเรื่องของความไม่เข้าใจกัน เขาก็จะกลับมาพูดแบบเดี๋ยวทานข้าวกันไหม
คบนานไหมกว่าจะมีการขอแต่งงาน?
แบม : น่าจะประมาณสัก 2 ปี
Advertisement