ฌอน เบเกอร์ ผู้กำกับจากภาพยนตร์เรื่อง Anora สร้างประวัติศาสตร์เป็นคนแรกที่ชนะออสการ์ถึง 4 สาขา จากหนังเรื่องเดียวกัน โดยเขาชนะรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม ตัดต่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน และ Anora ยังเป็นหนังเรต 18+ ที่ชนะรางวัลใหญ่ หลังจากที่ The Departed เคยทำได้ในปี 2007 นอกจากนี้ ฌอน เบเกอร์ และ ซาแมนธา ควอน ภรรยาซึ่งรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์หนัง ก็คว้ารางวัลหนังยอดเยี่ยมร่วมกัน นับเป็นครั้งที่ 2 ต่อจาก คริสโตเฟอร์ โนแลน และภรรยา เอ็มมา โธมัส ได้รางวัลนี้จากหนัง Oppenheimer ในปี 2024
ทั้งนี้ วอลท์ ดิสนีย์ ราชาหนังการ์ตูนเคยเป็นผู้ชนะออสการ์ในคืนเดียว 4 สาขา แต่ว่าไม่ได้มาจากหนังเรื่องเดียวกัน
"เอเดรียน โบรดี้" เคยเข้าชิงนักแสดงนำชายจากหนัง The Pianist ในปี 2002 ก่อนจะทำสถิติเป็นนักแสดงชายอายุน้อยที่สุดคือ 29 ปี ที่ชนะในสาขานี้ ก่อนที่ 22 ปีต่อมา เขาได้เข้าชิงออสการ์นำชายอีกครั้งจาก The Brutalist และก็ไม่พลาดชนะรางวัลไปอีกรอบ โดยทั้งสองรอบเขาเล่นเป็นชาวยิวที่หนีภัยนาซี นับเป็นคนแรกและคนเดียวของนักแสดงนำชายที่ทำได้
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีก 7 นักแสดงที่เข้าชิง 2 ครั้งและชนะทั้ง 2 ครั้ง ได้แก่ วิเวียน ลีห์, ฮิลารี สแวงก์, เควิน สเปซีย์, หลุยส์ เรนเนอร์, คริสตอฟ วอลซ์, เฮเลน เฮย์ส, มาเฮอชาลา อาลี
"ไมกี้ เมดิสัน" ผู้รับบทนักเต้นระบำเปลื้องผ้าที่พบรักกับลูกเศรษฐีจากภาพยนตร์เรื่อง Anora เป็นผู้ชนะสาขานักแสดงนำหญิงที่อายุน้อยที่สุดเป็นลำดับที่ 9 โดยนักแสดงหญิงที่ครองสถิติอายุน้อยสุดคือ Marlee Matlin จากหนังเรื่อง Children of Lesser God (1986) ที่ตอนนั้นทำสถิติไว้ที่อายุ 21 ปี 218 วัน
อันดับ 2 Jennifer Lawrence, จากหนัง Silver Linings Playbook (2012) ชนะตอนอายุ 22 ปี 193 วัน
อันดับ 3 Janet Gaynor จากหนัง 7th Heaven, Street Angel, and Sunrise (1927/28) ชนะตอนอายุ 22 ปี 222 วัน
อันดับ 4 Joan Fontaine จากหนัง Suspicion (1941) ชนะตอนอายุ 24 ปี 127 วัน
อันดับ 5 Audrey Hepburn จากหนัง Roman Holiday (1953) ชนะตอนอายุ 24 ปี 325 วัน
อันดับ 6 Jennifer Jones จากหนัง The Song of Bernadette (1943) ชนะตอนอายุ 25 ปี 0 วัน
อันดับ 7 Grace Kelly จากหนัง The Country Girl (1954) ชนะตอนอายุ 25 ปี 138 วัน
อันดับ 8 Hilary Swank จากหนัง Boys Don't Cry (1999) ชนะตอนอายุ 25 ปี 240 วัน
อันดับ 9 Mikey Madison จากหนัง Anora (2024) ชนะตอนอายุ 25 ปี 342 วัน
อันดับ 10 Julie Christie จากหนัง Darling (1965) ชนะตอนอายุ 26 ปี 4 วัน
ปกติแล้วหนังแนวสยองขวัญ มักจะไม่ได้รับการเหลียวแลจากกรรมการออสการ์ให้เข้าชิงรางวัลใหญ่อย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่ประวัติศาสตร์ออสการ์ที่ผ่านมาทั้งหมด 97 ครั้ง มีหนังสยองขวัญที่ฝ่าด่านเข้าชิงรางวัลนี้ 7 เรื่องด้วยกัน คือ The Exorcist (1974), Jaws (1976), The Silence of the Lambs (1992), The Sixth Sense (2000), Black Swan (2011), Get Out (2018) และ The Substance (2025) โดย The Substance นับเป็นหนัง Body Horror (หนังสยองขวัญเกี่ยวกับเรือนร่างของมนุษย์) เรื่องแรกที่ได้เข้าชิงรางวัลใหญ่นี้ ซึ่งสุดท้ายคว้าไปได้แค่ 1 รางวัลคือ แต่งหน้ายอดเยี่ยม
อย่างไรก็ตาม มีเรื่องเดียวที่กวาดรางวัลในสาขา Big 5 ออสการ์ไปแบบไร้คู่แข่ง คือ The Silence of the Lambs ที่ผงาดคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม นักแสดงนำชาย-นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปครอง
พอล เทซเวลล์ เป็นคนผิวดำคนแรกที่ชนะสาขาออกแบบเครื่องแต่งกายจากหนัง Wicked หลังเคยเข้าชิงสาขานี้มาแล้วจากหนัง West Side Story ในปี 2022 "ผมเป็นชายผิวดำคนแรกที่ชนะรางวัลออสการ์ออกแบบเครื่องแต่งกาย ผมรู้สึกภูมิใจมาก" พอล กล่าวสุนทรพจน์บนเวทีออสการ์ โดยมีสองนักแสดงนำอย่าง ซินเธีย เอริโว และ อาเรียอานา แกรนเด ลุกขึ้นยืนปรบมือเพื่อแสดงความยินดีกับเขา
โซอี้ ซัลดานา ชนะรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมจากหนัง Emilia Pérez ในบทบาททนายความสาวที่ต้องช่วยให้เจ้าพ่อค้ายาเสพติดปลอมแปลงการเสียชีวิตของตัวเอง และแปลงเพศเป็นผู้หญิงเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งเพื่อแลกกับเงินก้อนโต นับว่าเป็นนักแสดงชาวอเมริกันเชื้อสายโดมินิกันคนแรกที่ชนะรางวัลออสการ์
ซัลดานากล่าวบนเวทีทั้งน้ำตาว่า "คุณยายของฉันเป็นผู้อพยพเข้ามาในสหรัฐในปี 1961 ฉันเป็นลูกของพ่อแม่ที่เป็นผู้อพยพอย่างภาคภูมิใจที่มาพร้อมความฝัน ศักดิ์ศรี และมือสองข้างที่ทำงานหนัก ฉันเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายโดมินิกันคนแรกที่ได้รับรางวัลออสการ์และฉันรู้ว่าฉันไม่ใช่คนสุดท้ายอย่างแน่นอน"
"ไดแอน วอร์เรน" นักแต่งเพลงตัวแม่ที่เขียนเพลงให้กับศิลปินโด่งดังมานับไม่ถ้วน ส่วนผลงานในเวทีออสการ์นั้น ผลงานไม่ธรรมดา เธอแต่งเพลงที่คุ้นหูคนทั้งโลกอย่างเช่น Because You Loved Me (Up Close & Personal, 1997) How Do I Live (Con Air, 1998) I Don't Want To Miss A Thing (Armageddon, 1999) There You'll Be (Pearl Harbor, 2002) แต่ดูเหมือนเธอจะอับโชคกับเวทีนี้ เพราะปีนี้เพลง "The Journey" จากหนัง The Six Triple Eight พาเธอเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่ 16 แต่ยังคงอกหักซ้ำๆ เพราะแพ้ให้กับเพลง El Mal จาก Emilia Pérez ไม่รู้ต้องไปมูวัดไหนถึงจะได้ออสการ์มานอนกอดเสียที
ออสการ์ปี 2025 มีนักแสดงหญิง 2 คน เดินตามรอยเท้าแม่ คนแรกคือ "เฟอร์นานดา ตอร์เรส" ได้เข้าชิงสาขานำหญิงจาก I'm Still Here โดยเมื่อปี 1999 "เฟอร์นานดา มอนเตเนโกร" แม่ของเธอเป็นนักแสดงชาวบราซิลคนแรกที่ได้ชิงออสการ์นำหญิงจากหนัง Central Station
ส่วนอีกคนคือ "อิสซาเบลลา รอสเซลลินี" ได้เข้าชิงสาขาสมทบหญิงจาก Conclave แม้ว่าจะปรากฏตัวในหนังเพียงแค่ 8 นาทีเท่านั้น โดยเธอเจริญรอยตามผู้เป็นแม่ สุดยอดนักแสดงหญิงฮอลลีวู้ด "อิงกริด เบิร์กแมน" ที่เคยเข้าชิงออสการ์ 6 ครั้ง และชนะไปทั้งหมด 2 ครั้ง
ทั้งนี้ เดมจูดี้ เดนช์ จาก Shakespeare in Love เป็นนักแสดงหญิงที่ปรากฏตัวในหนังในเวลาที่สั้นที่สุด ก่อนเอาชนะรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมไปได้ โดยเธอมีเวลาอยู่บนจอเพียง 5 นาที 52 วินาที
ปีนี้มีภาพยนตร์ทั้งหมด 10 เรื่องที่ได้เข้าชิงสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ได้แก่ Anora, The Brutalist, A Complete Unknown, Conclave, Dune: Part Two, Emilia Pérez, I’m Still Here, Nickel Boys, The Substance และ Wicked ซึ่งหากจะชมให้ครบทุกเรื่องจะต้องใช้เวลารวมทั้งสิ้น 24 ชั่วโมง 45 นาที
นับเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี ที่ภาพยนตร์มิวสิคัล 2 เรื่องได้เข้าชิงพร้อมกันคือ Wicked และ Emilia Perez ซึ่งที่ผ่านมามีภาพยนตร์มิวสิคัลเพียง 10 เรื่องเท่านั้นที่กลายเป็นผู้ชนะ คือ 1930: The Broadway Melody, 1937: The Great Ziegfeld, 1937: The Great Ziegfeld, 1952: An American in Paris, 1959: Gigi, 1962: West Side Story, 1965: My Fair Lady, 1966: The Sound of Music, 1969: Oliver!, 2003: Chicago
I’m Still Here เป็นตัวแทนของบราซิลเข้าชิงรางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม ก่อนที่ออสการ์จะประกาศชื่อให้เป็นผู้ชนะในค่ำคืนนี้ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของประชาชนในประเทศที่มารวมตัวกันใจกลางเมืองหลวงเพื่อลุ้นรางวัล นับเป็นครั้งแรกที่ประเทศบราซิลได้รับรางวัลออสการ์
I’m Still Here เล่าเรื่องราวฝันร้ายที่เคยเกิดขึ้นจริงกับภรรยาของวิศวกรและอดีตสมาชิกสภาของบราซิลในรัฐบาลเผด็จการทหาร ผู้ถูกทางการจับกุมตัวไปไต่สวนกรณีพัวพันกับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลเมื่อต้นปี ค.ศ. 1971 ในเรือนจำอย่างเลือดเย็น ก่อนจะกลายเป็น ‘บุคคลสูญหาย’ ด้วยปริศนาที่ไม่มีวันคลี่คลาย ภายใต้เงื้อมมือของฝ่ายที่ได้ชื่อว่า ‘รัฐบาล’ ทิ้งให้เธอต้องเป็นมารดาเลี้ยงเดี่ยวดูแลลูก 5 คนโดยลำพัง จนเธอเบนเข็มศึกษากฎหมายจนกลายเป็นทนาย และนักกิจกรรมผู้ทวงความชอบธรรมคืนสู่ครอบครัวของเธอ
Advertisement