“ชูวิทย์” แฉซ้ำ “แสนสิริ”ใช้ “รปภ. นอมินี” โยงฟอกเงินต่างชาติ เปิดความสัมพันธ์ 2 ตระกูลดังกับ “เศรษฐา” ชี้ “ทักษิณ” กลับไทยมาเป็นตัวประกัน
21 ส.ค. 66 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ได้แถลงข่าวแฉอ้างถึงพฤติกรรมนิติกรรมอำพราง EP. 3 โยงถึง นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย โดยช่วงเริ่มต้นของการแถลงข่าวนายชูวิทย์ ได้นำโฉนดที่ดินกลางสุขุมวิท จำนวน 13 ไร่ มูลค่า 10,000 ล้านบาท โดยโฉนดที่ดินระบุชื่อ เด็กชายเศรษฐา ทวีสิน นายชูวิทย์บอกว่าตอนนี้อยู่ในมือของตนเอง ซึ่งนายเศรษฐาพยายามซื้อคืน แต่ตนเองไม่ขายทำให้นายเศรษฐาโกรธ
นายชูวิทย์ยืนยันว่า ตนเองพูดเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินและสาธารณะไม่เคยพูดเรื่องประเด็นส่วนตัว ซึ่งตัวเองยืนยันว่าที่แฉมานั้นเป็นการคอรัปชั่น ไม่เกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินของตัวเอง ซึ่งการที่ตัวเองถูกโจมตีนั้นย้ำว่าไม่เป็นปัญหา ตัวเองมีเอกสารทุกอย่างและยินดีไปกรมสรรพากรเพื่อชี้แจง
สำหรับการแฉ EP นี้นายชูวิทย์ ระบุถึงการซื้อขายดินสุขุมวิท 12 เป็นที่ดินเปล่าจำนวน 12 ไร่ เดิมอยู่ในนามบริษัท ศ.ทุนจดทะเบียน 175 ล้านบาท เมื่อต้องการขายที่ดินจำนวน 2 ไร่เศษ ซึ่งเจ้าของมีการจำนองไว้กับธนาคาร 1,000 ล้านบาท
ต่อมาศุกร์วันที่ 11 มี.ค.59 บริษัทนอมินี ชื่อว่า crowncity ตั้งอยู่ที่ฮ่องกง แต่สัญชาติซามัว ซึ่งอยู่ใกล้นิวซีแลนด์ นายชูวิทย์อ้างว่ามี “รปภ. ชื่อโชคชัย” อยู่ที่มุกดาหารเป็นนอมินี เป็นกรรมการผู้มีอำนาจถือหุ้น 51% ได้ไปซื้อหุ้นจากบริษัทศิวแลนด์และมีการปลดจำนองจากธนาคาร 1,000 ล้านบาท แต่มีการโอนหุ้นเปลี่ยนเป็นบริษัท crowncity ซึ่งเป็นบริษัทต่างด้าว ในวันจันทร์ที่ 14 มี.ค.
ทั้งนี้ในระหว่างการแถลงข่าวมีการนำคนแต่งกายชุดนอมินีมาประกอบการแถลงข่าวด้วย
นายชูวิทย์ บอกว่าได้มีการส่งคนไปที่ฮ่องกง เพื่อตามไปดูบริษัท crowncity พบว่าเป็นบริษัทผี ไม่มีคนทำงาน สภาพเหมือนแฟลต จึงตอกย้ำว่าคือบริษัทนอมินีชัดเจน พฤติกรรมดังกล่าวถือเป็นการวางแผนคอรัปชั่นผู้ถือหุ้น
นายชูวิทย์ ยังกล่าวถึงข้อพิรุธเนื่องจากบริษัทดังกล่าวมีการดำเนินการยังเป็นของคนไทยเมื่อวันศุกร์ แต่วันจันทร์เป็นบริษัทต่างด้าว และต่อมาบริษัทลูกของแสนสิริ คือ บริษัท พ.ไปซื้อที่ดินต่อจาก บริษัท crowncity ราคาเพียง 499 ล้าน ซึ่งบริษัทนี้มี พธศลย์ หรือ สกล เป็นกรรมการ
นายชูวิทย์ ระบุว่า หลังจากนั้นตนเองได้ไปตรวจสอบงบการเงิน ซึ่งพบว่าแสนสิริ ซื้อที่ดินมาในราคา 1,850 ล้านบาท ทั้งที่ลงในงบการเงินว่าซื้อไว้เพียง 500 ล้านบาท จึงอ้างว่าการดำเนินการดังกล่าว ส่วนต่างซึ่งเป็นเงินทอนว่า 675 ล้านบาท จึงขอถามว่าหายไปไหน
นายชูวิทย์ อ้างว่าคนที่ดำเนินการที่ชื่อว่าพธศลย์ หรือ สกล ทั้งเป็นนอมมินี เปลี่ยนโครงสร้างหุ้น และทำการขาย ซึ่งเป็นคนของแสนสิริ
นายชูวิทย์ ได้ข้อมูลว่าได้ไปตรวจสอบถึงบ้านของนายพธศลย์ พบเป็นทาวน์เฮ้าส์ มีการเปลี่ยนชื่อมา 4 ครั้ง และ นายเศรษฐา ไป อ้างว่าเกี่ยวข้องโดยตรงกับแสนสิริ อ้างมีความเกี่ยวข้องกับนามสกุล “จูตระกูล”และ “จารุทวี”
โดยมีการอ้างถึงความสัมพันธ์ connection tree ของนายเศรษฐา กับ นายอภิชาต จูตระกูล และ นายทศพงษ์ จารุทวี ว่ามีความเกี่ยวข้องกันทั้งหมด รวมไปบริษัท รปภ. ที่เป็นนอมินี ใช้รูปแบบเดียวกันหมด
โดยตั้งข้อสังเกตว่าทำไมทุกครั้งที่แสนสิริซื้อที่ดินบริษัทผู้ขายจะมี นอมินี เป็นรปภ.เป็นผู้มีอำนาจในการเซ็นซื้อขาย นั่นก็เพราะมีบริษัท รปภ.ชื่อบริษัท ม. ที่ถือหุ้นใหญ่ โดยพี่สาวของนายทศพงษ์ จารุทวี หรือนายเบ้ง จัดหา รปภ. ให้ ซึ่งนายเบ้ง มีลูกสาวชื่อ รวิพรรณ จารุทวี เป็นผู้ถือหุ้นลำดับที่ 7 ของแสนสิริ เป็นคนใกล้ชิดนายเศรษฐา เคยมีภรรยาเป็นพี่สาวภรรยาของนายเศรษฐา
และตั้งข้อสังเกตอีกว่าทำไมทุกครั้งที่แสนสิริซื้อที่ดิน บริษัทที่ขายจะกลายเป็นบริษัทร้าง ? เพราะไม่ส่งงบการเงินติดต่อกัน 5 ปี เนื่องจากไม่จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล 20 % จากการทำกำไรในการขายที่ดินจนเป็นบริษัทร้าง ทำไมทุกครั้งที่แสนสิริซื้อที่ดินผู้มีอำนาจลงนามของผู้ขายผู้ถือหุ้นแค่ 1 หุ้น แต่มีอำนาจควบคุม เซ็นชื่อแทน แม้ว่าผู้ถือหุ้นจะน้อยกว่าคนอื่น เพราะนิมินีที่ลงนามล้วนเป็นบุคคลใกล้ชิดที่ทำงานให้กับนายเบ้ง ทำหน้าที่เพียงลงนามในนิติกรรมแทน ส่วนทำไมทุกครั้งที่แสนสิริขายที่ดินจะมีเงินทอนเสมอ ที่ดินทองหล่อเงินทอน 435 ล้าน ที่ดินสุขุมวิทเงินทอน 675 ล้าน ? เพราะเป็นเงินที่ได้เร็ว โดยไม่ต้องควักกระเป๋าตัวเองไปลงทุน แต่ใช้เงินของผู้ถือหุ้นแทน
ดังนั้นนายเศรษฐาจะอ้างว่าการซื้อขายที่ดินเป็นเรื่องของผู้ขายไม่เกี่ยวกับตนเองไม่เป็นความจริง เพราะนาpเศรษฐา เป็นคนที่ตั้งบริษัทนอมินีทั้งหมด
ดังนั้นจึงมองว่านายเศรษฐาจะเป็นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ นายชูวิทย์ ระบุว่าการแฉครั้งนี้จะเป็นการแฉครั้งสุดท้ายและตนเองได้ส่งข้อมูลทั้งหมดไปให้ สส.และ สว.ได้พิจารณาในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (22 ส.ค. 66) และหวังว่า นายเศรษฐาจะรับทราบจากจิตสำนึกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ซึ่งตนเองเชื่อว่าหากนายเศรษฐา ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแน่นอน แต่หากได้ เป็นนายกรัฐมนตรีจริงก็จะอยู่ได้เพียง 3 เดือน และจะต้องเปลี่ยนครม.ใหม่ทั้งหมด เพราะเรื่องดังกล่าวเกี่ยวข้องกับนายเศรษฐาและคนรอบตัว
นายชูวิทย์ ย้ำว่าการกระทำของตัวเอง มีเจตนาบริสุทธิ์ชัดเจน ส่วนใครที่จะโจมตี ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้เป็นนายกฯและไม่ใช่นักการเมือง เพราะฉะนั้นตนเองไม่กลัว ซึ่งหลักฐานที่ตนเองนำออกมาแฉจะรับผิดชอบทั้งหมดเพราะเป็นหลักฐานราชการ
ส่วนการกลับไทยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ (22 ส.ค.) นายชูวิทย์ ระบุว่ามีความเกี่ยวข้องกับการโหวตนายกรัฐมนตรีอย่างแน่นอน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าทำไมถึงกลับมาก่อนเวลาโหวต เพราะจะทำให้ตัวเองเป็นตัวประกัน ไม่ใช่คนคุมเกม แต่เชื่อว่านายทักษิณ จะไม่ได้เข้าไปอยู่ในเรือนจำเพราะมีดีลลับ เห็นได้จากการเตรียมโรงพยาบาลตำรวจและโรงเรียนพลตำรวจบางเขน เอาไว้รับรอง.
Advertisement