ธนาธร ไม่เห็นด้วยกู้เงิน 5 แสนล้าน สอนมวยเพื่อไทย ใช้งบฯ ปกติวาง 5 โครงการ ทยอยทำ 8 ปี ไม่ต้องกู้ ถ้าซื้อไอเดียพร้อมให้ข้อมูล
วันที่ 17 พ.ค. 66 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวบรรยายในหัวข้อ “ประเทศไทยควรได้อะไร หากต้องใช้ 5 แสนล้าน” ตอนหนึ่งว่า หากดูจาก GDP ของไทยเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านใน 10 ปี ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านและโลก แต่สถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นเป็นวิกฤตทางเศรษฐกิจ แต่ก็ยังไม่สามารถเเข็งขันกับโลกได้ เนื่องจากการเติบโตที่ช้า ไม่มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่มากพอ โดยต้องเริ่มแก้ที่ปัญหาคนไม่มีงานที่มั่นคงทำ
นายธนาธร ระบุว่า หากมี 5 แสนล้านจะเริ่มต้นด้วยการพัฒนาด้านการขนส่งสาธารณะ สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม การศึกษา และน้ำปะปา แม้หลายคนมองว่าเป็นความฝันที่ทะเยอทะยาน ขณะเดียวกันต้องตอบโจทย์คนต้องมีงานทำ และสามารถแข่งขันกับโลกได้ หากนำมาพัฒนาระบบการแพทย์ทางไกล หรือ Telemedicine ซึ่งจะใช้งบรวม 60,900 ล้านบาท จะสามารถลดความแออัดของโรงพยาบาล และเกิดการจ้างงานให้อาสาสมัครสาธารสุข หรือ อสม. รวมไปถึงเกิดฐานข้อมูลขนาดใหญ่
ขณะที่การพัฒนาระบบคมนาคมสาธารณะจะใช้งบประมาณ 88,000 ล้านบาท ปัจจุบันประเทศมีการนำเข้าพลังงานปีละ 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งต้องเพิ่มระบบการขนส่งสาธารณะให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อลดปริมาณการใช้พลังงานจากรถยนต์ส่วนตัว สร้างเศรษฐกิจรถเมล์ไฟฟ้า เพื่อสร้างเศรษฐกิจสองข้างทาง และเกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่อง รวมไปถึงสามารถลดการเกิดอุบัติเหตุ
ด้านการพัฒนาระบบน้ำปะปาดื่มได้ ใช้งบประมาณ 66,755 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถทำให้น้ำปะปาทั้งประเทศสามารถดื่มได้ ทั้งหาเตรียมแหล่งน้ำ ลงทุนการพัฒนาระบบผลิตน้ำ ขณะนี้ได้มีการพัฒนาออกมา และได้รับรองมาตรฐานผ่านการควบคุมคุณภาพแล้ว 2 ที่คือที่ ต. อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด และ อ.คำม่วง จ.กาฬสินธุ์
นายธนาธร ระบุว่ส่วนการพัฒนาสิ่งแวดล้อม กว่าร้อยละ 80 บ่อขยะในไทยไม่ได้มาตรฐานสุขอนามัย ในท้องถิ่นมีการลงทุนกับขยะน้อยที่สุดในการสร้างบริการสาธารณะ ซึ่งการทำบ่อขยะที่ถูกต้องลงทุนมหาศาล โดยจะใช้งบประมาณในการลงทุน 118,238 ล้านบาท พร้อมกับมองว่าจะต้องดึงการร่วมทุนจากต่างประเทศในการสร้างโรงงานกำจัดขยะ เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้ในการบริหารจัดการทางเทคโนโลยี ก่อนที่จะสร้างโรงงานเองในพื้นที่อื่น
ด้านการพัฒนาด้านการศึกษา ต้องรองรับโลกใบใหม่ และให้ความสำคัญกับอาชีวศึกษา ซึ่งยังไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัยเพื่อสร้างทักษะให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันการลงทุนเพื่อการศึกษาจะต้องไม่ใช่เพียงคำพูด สามารถเข้าถึงคุณภาพการศึกษา เพื่อเมื่อจบไปให้สามารถแข็งขันกันได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งการพัฒนาระบบการศึกษา จะใช้งบประมาณ 120,880 ล้านบาท
นายธนาธร กล่าวว่า ทั้ง 5 โครงการนี้ ไม่ถึง 5 แสนล้านทำได้ รัฐบาลสามารถเลือกได้ในเชิงการคลังว่ารัฐบาลจะทำเอกหรือให้ภาคเอกชนร่วมลงทุน เพื่อลดรายจ่ายของภาครัฐลง เป็นการยืดหยุ่น โดยอย่าให้เป็นการฉกฉวยภาษีประชาชนเข้าสู่กระเป๋านายทุนหรือนักการเมือง ซึ่งถือได้ว่าเป็นโจทย์ใหญ่ หลักคิดต้องนำปัญหาสังคมมาสร้างความต้องการในประเทศ และเปลี่ยนความต้องการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ สร้างความรู้ สร้างเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
พร้อมกับกล่าวยืนยันว่า โครงการที่ตนเสนอมาสามารถใช้งบประมาณปกติได้ แต่ไม่สามารถสร้างได้ในปีงบประมาณเดียว ต้องทะยอยทำ หากมองด้วยความเป็นจริง 8 ปีสามารถเป็นไปได้ ใน 2 สมัย 4 แสนกว่าล้าน และหากหาร 8 ออกมาไม่แพง หากค่อยๆ ทำผ่านงบปกติ พอหาได้จากงบลงทุน พร้อมขอให้เลิกซื้อ ตัดถนนไม่จำเป็น ตนอยากใช้แก้ปัญหา ให้ลูกหลานมีงานทำ
“การกู้เงิน 500,000 ล้านบาทเพื่อใช้ในนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท ไม่เห็นด้วย และมองว่าประเทศไทยยังถึงขั้นวิกฤตเศรษฐกิจ และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินในครั้งนี้ สิ่งที่ได้เสนอนี้ อยากให้สังคมได้ไปพูดคุยและแลกเปลี่ยน ตอนวิกฤตโควิด-19 ไทยได้กู้เงิน 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งวันนี้หนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะอยู่สูงมาก ปัญหาอยู่ที่เราไม่มีขีดความสามารถที่เพียงพอให้ประเทศไทยแข่งขันได้ ยืนยันว่าการออกมาในครั้งนี้ เป็นเพียงแค่การเสนอทางเลือกให้กับพรรคเพื่อไทย ส่วนเพื่อไทยฟังแล้วจะนำไปทำหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่หากพรรคเพื่อไทยสนใจก็พร้อมที่จะให้ข้อมูลและพูดคุยกัน อย่างไรก็ตามไม่ขอวิจารณ์ หากนโยบายสำเร็จหรือไม่”
เมื่อถามว่า หากพรรคเพื่อไทยสนใจข้อเสนอ แต่ติดเรื่องนโยบายที่หาเสียงไปแล้วจะต้องทำนั้น นายธนาธร ระบุว่า หากไม่สามารถทำได้ ก็จะต้องพูดตรงๆ กับประชาชนดีที่สุด
Advertisement