ที่อาคารรัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวถึงข้อสรุปการประชุมวิป3ฝ่าย สำหรับการพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา151 ที่มีข้อถกเถียงกันในเรื่องของเวลาในการอภิปราย ว่า เป็นที่น่าเสียดายที่วันนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้ แต่ จะให้แต่ละฝ่ายทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลนำข้อมูลกลับไปพูดคุยกับฝ่ายของตนเองก่อน
และวันพุธหน้า(19 มี.ค.)จะมาหารือเรื่องนี้กันอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งประเด็นที่ยังหาข้อสรุปร่วมกันไม่ได้คือกรอบเวลา จากที่ตนได้มีการหารือ กับนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ว่าพรรคฝ่ายค้านยอมที่จะจะปรับคำในญัตติตามที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอมา จึงอยากยืนยันในเรื่องกรอบเวลาที่ขอไว้คือ 30 ชั่วโมง แต่เมื่อ มาเจรจากับทาง วิปรัฐบาลและตัวแทนรัฐมนตรี ก็พบว่ากรอบระยะเวลาตกลงกันไม่ได้
ซึ่งในเรื่องของตัวเลขเวลาตนยังไม่อยากให้ข้อมูล อาจจะกระทบกับการเจรจาที่เป็นอยู่ ตอนนี้บอกได้ว่ากรอบ 30 ชม.ที่ฝ่ายค้านขอ รัฐบาลจะขอเท่าไหร่รัฐมนตรีจะขอเท่าไหร่ พวกเรายินดี ก็คำนวนออกมาว่าอภิปรายกันกี่วัน เรายึดที่ตัวเนื้อหายึดที่กรอบชั่วโมงก่อน ถ้ายืนตามกรอบนี้ได้วันนี้ก็จะได้ข้อสรุป แต่กรอบ 30 ชม.กลายเป็นว่าทางฝั่งรัฐบาลเองก็ไม่เห็นด้วย จึงยังไม่ได้ข้อสรุป
ส่วนเรื่องการปรับคำในญัตตินั้น ตนยืนยันว่าตัวญัตติยังไม่ได้ทำหนังสือส่งอย่างเป็นทางการ ที่ได้มีการหารือในในช่วงบ่ายกับประธานเป็นเพียงการหารือในหลักการ ตนก็รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับทางประธานสภาถ้าเจรจากับทางวิปร่วมสำเร็จ เราก็พร้อมที่จะปรับคำในญัตติ และเดินหน้าอภิปรายไม่ไว้วางในตามกรอบที่ตกลงไว้ แต่วันนี้กรอบเวลายังตกลงกันไม่ได้ ดังนั้นการปรับคำในญัตติ ตนก็ยังยื่นต่อประธานสภาไม่ได้
ส่วนการปรับชื่อนายทักษิณออกแล้วเปลี่ยนเป็นคำใหม่นั้น นายณัฐพงศ์กล่าวว่า ก็คงต้องปรับออกแต่จะเปลี่ยนเป็นคำอื่นอย่างไรคงต้องรอทุกรายละเอียด จะปรับเป็นคำไหน และระยะเวลาจะได้เท่าไหร่ ล้วนส่งผลถึงกัน ดังนั้นต้องรอข้อสรุปในอาทิตย์หน้า
ส่วนการเปิดอภิปรายยังทันในสมัยประชุมนี้หรือไม่นั้น นายณัฐพงษ์ มองว่ายังทันเพราะตอนนี้ญัตติสมบูรณ์ เสร็จแล้วทุกอย่างรอแค่ปรับคำ ก็พร้อมที่จะบรรจุได้เลย แต่ขณะนี้ติดเพียงล็อคเดียวคือกรอบเวลาในการอภิปราย ซึ่งเราปิดประชุมในวันที่ 10 เม.ย. การอภิปรายก็อาจจะขยับออกไปได้อีก 1 สัปดาห์ ซึ่งอย่างน้อยยังมีเวลาที่จะเจรจาเรื่องกรอบเวลาได้ในสัปดาห์หน้า มีความเป็นไปได้ที่เป็นช่วงต้นเดือนเม.ย.และระยะเวลายาวนานแค่ไหนก็ต้องอยู่ที่ข้อตกลงกันระหว่างวิปร่วม
ทั้งนี้ หากรัฐบาลให้อภิปราย 2วันและลงมติ1วันนั้น เป็นเรื่องที่ยังหารือกันอยู่ ตนคิดว่าต้องหาจุดตรงกลางร่วมกัน ซึ่งมีการเจรจาในหลายช่องทางหลายรูปแบบ แต่ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป
ส่วนเหตุผลที่รัฐบาลอ้างว่าอภิปรายนายกคนเดียวไม่ควรจะยาวเกินไป ยังเป็นเหตุผลนี้หรือไม่ นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ได้มีค้นข้อมูลการอภิปรายไม่ไว้วางใจในอดีต มีทั้งอภอปรายรัฐมนตรี 1 คน หลายคน หลายวัน ไม่กี่วันก็มี ซึงถ้าดูตามบรรทัดฐานสภาในอดีต ตนคิดว่ามันหลากหลาย
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกรอบเนื้อหา ถ้าดูตามกรอบญัตติที่พรรคฝ่ายค้านเตรียมกันมาหลายเดือน วันนี้ที่เรายืนยันว่าเสนอ30 ชม.ไม่ได้เยอะเกินไป ก่อนหน้านี้เราเสนอ 5 วันด้วยซ้ำไป และเห็นตามข่าวว่ารัฐบาลขอ 1 วัน ตนเองก็ไม่อยากให้โต้กันด้วยวิธีการแบบนั้น เราคิดว่ายึดตามกรอบเนื้อหาญัตติ คิดว่า30 ชม.เป็นเวลาที่เหมาะสม
เมื่อถามว่าได้มีการยื่นคำขาดหรือไม่หากไม่ยอมใน 30 ชม.ก็จะไม่ยอมปรับแก้คำในญัตติ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า จริงๆ 30 ชม.เป็นการถอยมาเยอะแล้วในมุมมองของฝ่ายค้าน จา ก5 วัน ถอยมาเรื่อยๆ จนยึดที่ตัวเนื้อหาเป็นหลัก ส่วนจะมองว่าเป็นเส้นตายเลยหรือไม่นั้น อยากให้มองว่า การจะเดินต่อไปได้ต้องถอยคนละก้าว ฝ่ายค้านเองยอมถอยมาแล้วเรื่องจำนวนชั่วโมง แต่เรื่องหลักการเรายังยืนที่เดิม ก็อยากให้ฝ่ายรัฐบาลกลับไปคุยกันภายใน แล้วหาข้อสรุปในสัปดาห์หน้า
นายณัฐพงษ์ กล่าวอีกว่า พรรคประชาชนและพรรคฝ่ายค้านยืนยันว่า อยากมุ่งไปสู่จุดที่ต้องมีการอภิปราย ภายในสมัยประชุมนี้ให้ได้ แต่ตอนนี้เดินหน้าต่อไม่ได้เนื่องจาก ทางฝั่งรัฐบาลติดในเรื่องกรอบเวลาที่ยังไม่ลงตัว ณ ตอนนี้จึงขออนุญาตสื่อสารตรงๆ ว่า ถ้าจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่ได้ในสมัยประชุมนี้ ก็อาจจะเกิดจากการที่รัฐบาลไม่ยอมให้เวลากับฝ่ายค้านอย่างเพียงพอ
Advertisement