วันนี้ (24 มี.ค.68) การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) พิจารณาเรื่องด่วน ญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ลุกขึ้นอภิปรายว่า ตนเองขอร่วมอภิปรายในญัตติ เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งไม่มีความรับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ ไม่ปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ จงใจสานต่อการทุจริตเชิงนโยบาย ประพฤติตนเสมือนหุ่นเชิดการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง และกลุ่มทุน
นายสุรเชษฐ์ ได้ยกตัวอย่าง 2 เรื่อง ที่เป็นการทุจริตเชิงนโยบาย และเป็น 2 เรื่องซุปเปอร์ดีลระดับ 100,000 ล้านบาท ซึ่งสืบทอดมาจากขั้วอำนาจเก่า แต่มีการตัดสินใจดำเนินการอย่างนัยยะสำคัญโดยรัฐบาลปัจจุบัน ภายใต้การนำของนายใหญ่ และนายน้อย ในการเอื้อประโยชน์เพิ่มเติม พร้อมย้ำว่าเรื่องนี้เป็นการเอื้อประโยชน์เพิ่มเติมโดยรัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งทั้งสองซุปเปอร์ดีลมีการเอื้อประโยชน์ให้นายทุนใหญ่ในด้านคมนาคม และไม่ใช่เรื่องเพียงแค่กระทรวงคมนาคมเพียงลำพัง แต่ยังมีความพัวพันถึงกระทรวงการคลังอยู่ไม่น้อย
“แน่นอนว่าดีลใหญ่ขนาดนี้ ต้องเข้าคณะรัฐมนตรี ที่มีท่านนายกฯ นั่งเป็นประธาน ผมจึงขอให้นายน้อยตั้งใจฟัง และออกมาชี้แจงแสดงความรับผิดชอบต่อตำแหน่งหน้าที่ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจวันนี้ ท่านจะหลบซ้ายหลบขวาหาทางโบ้ยให้ท่านสุริยะหรือท่านพิชัยมาตอบแทนไม่ได้ ใครๆ ก็รู้ว่าซุปเปอร์ดีลระดับแสนล้านในประเทศนี้ มีเพียงท่านนายกฯ กับพ่อท่านนายกฯ เท่านั้น ที่ตัดสินใจได้” นายสุรเชษฐ์ กล่าว
นายสุรเชษฐ์ กล่าวถึงดีลแรกว่า เป็นเรื่องการแก้สัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่มีการแก้สัญญาเพื่อหากินกับการปรับงวดเงินที่รัฐร่วมลงทุน 149,650 ล้านบาท และการยอมให้นายทุนผ่อนชำระค่าสิทธิ์แอร์พอร์ตลิงก์ 10,671 ล้านบาท โดยลักษณะของทุนใหญ่ที่เข้ามาหากินกับโครงการรัฐในสัมปทานนี้คือ คว้าสัมปทานให้ได้ก่อน และค่อยหาประโยชน์เพิ่มด้วยการแก้สัญญา ซึ่งโครงการนี้นายทุนใหญ่เพื่อนของนายใหญ่คว้าสัมปทานไว้ในมือแล้ว โดยเซ็นตั้งแต่ 24 ตุลาคม 2562 แต่ผ่านมา 5 ปีครึ่ง กลับยังไม่ได้ทำอะไร และโครงการนี้มีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนงานจ้างเหมาก่อสร้างทั่วไป ที่เปิดประมูลให้ผู้รับเหมามาแข่งขันราคากัน แต่โครงการนี้ให้สิทธิ์เฉพาะทุนใหญ่ระดับแสนล้านถึงขึ้นมาทานบนได้โต๊ะได้
อีกทั้ง โครงการนี้เป็นการมัดรวมงานหลายประเภทที่แตกต่างกัน ที่มีทั้งสิทธิ์ในการเดินรถ การก่อสร้างทางรถไฟ และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งงานแต่ละประเภทมีผู้ประกอบการเก่งๆ มากมาย มีแต่เข้าแข่งขันไม่ได้เพราะทุนหนาไม่พอ ซึ่งโครงการนี้เป็นการให้สิทธิ์สัมปทานแบบมัดรวม และให้ทุนใหญ่ผูกขาดหาทางบริการจัดการ จัดจ้างผู้ประกอบการที่เก่งในงานแต่ละประเภทเอาเอง แต่มันใช่เรื่องของรัฐบาลหรือไม่ ที่ต้องเอาผลประโยชน์ไปล่อใจเพิ่ม เพื่อให้ทุนใหญ่ขยับ เพราะทุนใหญ่ประมูลไปแล้ว ก็ควรดำเนินการตามสัญญา หากไม่ทำตามก็ควรโดนลงโทษตามสัญญา
แต่ไม่ใช่มาร่วมมือกัน ระหว่างทุนใหญ่กับนายใหญ่มาหากินผลประโยชน์ส่วนเพิ่มจากการแก้สัญญา เพื่อเอื้อประโยชน์ให้นายทุน จึงเรียกได้ว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย โดยในรูปแบบการเซ็นสัญญาเป็นสิ่งที่เอกชนรับความเสี่ยง ไม่ใช่รัฐที่จะต้องรับความเสี่ยง แม้จะเป็นความร่วมมือกันระหว่างรัฐและเอกชน แต่ไม่ใช่ว่ารัฐต้องช่วยอย่างไรขอบเขต ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญา ไม่ใช่ร่วมมือกันแก้สัญญา และหากเปลี่ยนเงื่อนไขใหม่ทำไมถึงไม่ประมูลใหม่ “นี่สัญญารัฐนะครับ ไม่ใช่สัญญาปากเปล่าของนายใหญ่ ที่จะให้ใครเงื่อนไขใด ก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ตลอด”
นายสุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า รัฐเยียวยาช่วยเหลือได้แต่อย่าให้น่าเกลียด แยกก้อนคิดคำนวณออกมาให้ชัดเจน ซึ่งรัฐสามารถเยียวยาได้โดยไม่ต้องแก้สัญญา ส่วนรัฐจะเยียวยาเท่าไหร่ก็ต้องไปว่ากัน โดยต้องไม่ลืมว่าทุนเล็กทุนน้อย และประชาชนจำนวนมากก็เดือดร้อนเช่นกัน อย่าช่วยแต่ทุนใหญ่จนน่าเกลียด ซึ่งในสัญญามีความเสี่ยงมาก รัฐจึงต้องอุดหนุนมากเช่นกัน ทั้งอุดหนุนให้เอกชน 159,830 ล้านบาท รัฐจึงต้องเทเงินภาษีจากคนทุกคนไปอุด รวมทั้งยังยกที่ดินการรถไฟให้เป็นสิทธิ์ของเอกชนในการพัฒนาพื้นที่เพิ่ม 50 ปี คือ ที่ดินมักกะสัน 141 ไร่ และพื้นที่ศรีราชา 25 ไร่ และยังต้องออกค่าเวนคืนปรับเปลี่ยนถนน สะพาน และโครงสร้างอื่นๆ อีกมากที่เปลี่ยนแปลงจากโครงการนี้
นายสุรเชษฐ์ ยังได้ยกสัญญาที่ร่วมลงทุน ที่มีการเขียนเงื่อนไขการเริ่มงาน (NPT) ซึ่งกรณีนี้การรถไฟแห่งประเทศไทยต้องออก NTP เพื่อสั่งการให้เอกชนเริ่มงาน แต่จนวันนี้ผ่านมา 5 ปี การรถไฟก็ยังไม่ออก ซึ่งสาเหตุที่ช้าที่ทำให้การรถไฟฯ ไม่กล้าออก NTP นั้น คือเงื่อนไขที่เขียนไว้ว่าเอกชนคู่สัญญาได้รับบัตรส่งเสริมการลงทุนสำหรับโครงการเกี่ยวกับรถไฟ หรือ การรถไฟฯ รอให้เอกชนได้บัตรส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่กำกับโดยนายกฯ ก่อน จึงทำให้เกิดการ ”เลื่อนแล้ว เลื่อนอยู่ เลื่อนต่อ“
อย่างไรก็ตาม BOI ได้รับการอนุมัติตั้งแต่ 13 มิ.ย. 65 แต่ก็คือการเล่นเกมยื้อเวลา เอกชนไม่ยอมส่งเอกสารตามกำหนด และทำหนังสือมาขอขยายเวลาการส่งเอกสาร เพื่อประกอบการออกบัตรส่งเสริมฯ และใน BOI ของนายกฯ ก็ใจดียอมไปเรื่อยๆ ซึ่ง BOI แกล้งไม่รู้ หรือรู้แต่เห็นแก่เพื่อนของพ่อนายใหญ่ เลยต้องใจดี โดยเป้าหมายที่แท้จริงของนายใหญ่ คือการหลบเลี่ยงเงื่อนไขตามสัญญา ว่ายังไม่ได้บัตรส่งเสริมฯ และข้ออ้างดังกล่าวจึงทำให้การรถไฟฯ มีเหตุให้ในกานเลื่อนออก NTP เริ่มงาน จึงต้องดูว่ากลเกม BOI ยังไม่ได้บัตรส่งเสริมเพราะใคร
“แต่มันใช่เหรอครับ ทำไมนักการเมืองไม่รักษาผลประโยชน์สาธารณะ แต่กลับฟังนายใหญ่ ทำไมต้องฟังนายใหญ่ ให้ช่วยทุนใหญ่” นายสุรเชษฐ์ กล่าว
นายสุรเชษฐ์ ยังกล่าวอีกว่า จากไม่เลื่อน ไม่แก้ กลายเป็นทั้งเลื่อน ทั้งแก้ ท่านนายน้อยรู้เรื่องกับเขาหรือไม่ ว่าใครสั่งให้กลับลำ กลับลำจากไม่เลื่อน ไม่แก้ เป็นทั้งเลื่อน ทั้งแก้ นายใหญ่หรือทุนใหญ่ ใครสั่งให้กลับลำ หรือนายน้อยสั่งการเอง สั่งให้กลับลำจนนายสุริยะ เป็นโมฆะบุรุษไปแล้ว
ทั้งนี้ เอกชนผิดสัญญาไปแล้ว แต่การรถไฟฯ ไปทำ MOU กับเอกชนว่า ยังไม่จ่ายเงินหมื่นกว่าล้านไม่เป็นไร แต่ให้สิทธิ์เดินรถแอร์พอร์ตเรลลิงค์ไปก่อน กลายเป็นว่าเอกชนเบี้ยวหนี้ แต่สามารถเดินรถได้ เพราะทำ MOU ที่ช่วยเหลือกันไป จึงเป็นการเกาหลังกันระหว่างนายทุนใหญ่กับรัฐบาล ซึ่งหลักฐานกระจ่างแล้ว ท่านนายกฯ ต้องเลิกใจดีได้แล้ว ณ ตอนนี้หมดเรื่องข้ออ้าง BOI แล้ว การรถไฟฯ ต้องออก NTP แล้ว
นายสุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตนเองเชื่อว่านายกฯ แก้สัญญา ซึ่งหากดูตามมติ ครม. ไว้วางใจโดยแก้เปลี่ยนในหลักการใหญ่ จากสร้างเสร็จ และค่อยจ่าย กลายเป็นสร้างไปจ่ายไป ที่เอกชนจะต้องกู้เงินแสนกว่าล้าน มาลงเองก่อนในช่วงแรก และรัฐบาลค่อยทยอยจ่ายคืนในปีที่ 6 - 15 กลายเป็นว่าทำแบบนี้รัฐเสียหาย เพราะต้องรีบหาเงินมาจ่ายให้เอกชน ลดต้นทุน ลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ เป็นการทุจริตเชิงนโยบายที่รัฐหาเงินมาประเคนให้นายทุนไวขึ้น
โดยรัฐสามารถออก NTP ได้ทันที ซึ่งเป็นการเดินหน้าไร้ข้อคอรหา เพราะไม่ต้องแก้สัญญา หากรัฐเห็นว่าโครงการนี้ดีจริง ก็ออก NTP ไปเลย จะได้เริ่มงานสักที แต่หากคิดว่าโครงการนี้ไม่ดีจริงก็ขอให้ยกเลิกไป เพราะเอกชนผิดสัญญาไปแล้ว ไม่ใช่เลื่อนปล่อยให้ปัญหาคาราคาซังแบบนี้ ซึ่งรัฐบาลเปลี่ยนท่าทีจากไม่เลื่อน ไม่แก้ เป็นเลื่อน เพื่อแก้ ทำให้เอกชนได้ประโยชน์
"แล้วใครคือหัวโจกใหญ่ดีลระดับแสนล้านแบบนี้ ก็ท่านนายกฯ กับพ่อนั้นแหละ ท่านนายกฯ หากินกับเขาด้วยหรือไม่" นายสุรเชษฐ์ กล่าว
ส่วนซุปเปอร์ดีลเรื่องที่ 2 ที่หลอกกินต่อ ไม่ยอมลุกจากโต๊ะสักที คือการขยายสัมปทานทางด่วน ที่กำลังมีการแก้สัญญาเพื่อหาต่อจากสัมปทานเดิมที่มีกำไรงาม ทุนใหญ่ไม่อยากคืนรัฐ ที่ได้สิทธิ์กินเต็มที่แล้ว แต่อยากกินต่อ จึงขอขยายสัมปทานไปเรื่อย และยิ่งสบโอกาสจากการเมืองตระกูลชินแล้ว จึงเป็นโอกาสทอง พร้อมยกสไลค์ทางด่วน (ในเขตเมือง) หรือชื่อสัญญาคือ โครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 ซึ่งเป็นถุงเงินหลักของนายทุน ที่มีบทบาทครอบงำของรัฐ และนั่งเก็บตังค์จากค่าผ่านทาง สัมปทานหลักกำไรงามมาก ควรกลับคืนมาเป็นของรัฐ แต่รัฐไทยทำไม่ได้ เพราะหาเหตุขยายสัมปทานไปเรื่อย โดยทุนใหญ่ และนักการเมือง และทหารการเมืองด้วย
รวมทั้ง มีความพยายามหาเหตุในการขยายสัมปทานอีกครั้ง คือทางด่วนซ้อนทางด่วน บริเวณถนนงามวงศ์วาน ไปถนนพระราม 9 และยังเส้นอื่นๆอีกด้วย ที่เป็นทางพิเศษชั้นที่ 2 คร่อมขั้นที่ 2 (Double Deck) ตนแน่ใจว่ารัฐบาล และนายทุนประเมินว่า Double Deck เพียงอย่างเดียว ขาดทุนยับแน่ แต่ก็อยากหาสร้าง เป็นการลงทุนเพื่อบังหน้า แต่เนื้อแท้แล้วอยากกอดก้อนทุนเดิมที่กำไรงามให้นานขึ้น เป็นการหาเหตุมาเจาะถุงเงินหลักของการทางพิเศษประเทศไทย ที่เป็นเจ้าของทสงด่วนขั้นที่ 1-2 เอาเงินก้อนใหญ่ไปประเคนให้นายทุน เพื่อหาสร้าง Double Deck ที่ขาดทุนด้วยตัวเองอย่างแน่นอน และการพ่วงสัมปทานสิ่งหนึ่งสัญญา เพื่อเอามาแถมสัญญารอง สายบางปะอิน-ปากเกร็ด ร่วมไปด้วย
ดังนั้น ดีลขยายสัมปทานทางด่วน คือจะมีกินมีใช้ไปพร้อมๆ กัน ระหว่างนายทุนกับนายใหญ่ แต่คนที่ต้องจ่ายคือประชาชน ที่ต้องจ่ายค่าทางด่วน เพื่อให้เอาไปแบ่งระหว่างนายทุนกับนายใหญ่ มากขึ้น และนานขึ้น
นายสุรเชษฐ์ ย้ำว่า 2 เรื่องที่อภิปรายไป คือการทุจริตเชิงนโยบาย ทั้งการแก้สัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่เซ็นไปก่อนหากไม่พร้อมหรือกำไรไม่ชัวก็ดึงเรื่องไว้ ไม่ยอมทำ และหาทางเจรจากับนักการเมืองบางจำพวก เพื่อหาประโยชน์เพิ่มให้พอใจ และค่อยทำ ส่วนอีกเรื่องคือการขยายสัมปทานทางด่วน ที่นายทุนกับนักการเมืองบางจำพวกหากินกับรัฐ แต่ประชาชนทุกคนต้องมาช่วยกันแบก จึงเป็นเหตุผลที่ตน และพรรคประชาชนไม่สามารถไว้วางใจนายกฯ ได้
จากนั้น นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นแย้งว่า มีบางคำที่ตนมองว่าไม่เหมาะสม และอยากให้หลีกเลี่ยง โดยเฉพาะคำว่า ตระกูลชินวัตร เพราะตระกูลเขาใหญ่มีสมาชิกหลายร้อยคน มีพ่อแม่ลูกหลานเต็มไปหมด เวลาพูดถึงตระกูล หลายคนก็ไม่ได้เกี่ยวข้องทางการเมือง ไม่ได้เป็นนักการเมือง ก็พลอยเสียหายไปด้วย ถ้าจะยิงใครได้ยิงไปเลย อย่ายิงกราด ระบุชื่อมาเลย และขอให้อย่าอภิปราย คำว่า นายใหญ่ เพราะนายใหญ่ คือนายตน หรือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายทักษิณไม่ได้อยู่ในสภาแห่งนี้ เพราะฉะนั้น การอภิปรายพาดพิงถึงบุคคลที่สาม ที่ไม่สามารถใช้สิทธิ์ตอบโต้ได้ ไม่ยุติธรรม หากอยากจะพูดก็เฉียดๆ ไปแล้วกัน ไม่เช่นนั้น ตนคงต้องลุกขึ้นมาอีก อยากให้บรรยากาศดี อภิปรายไป ส่วนเนื้อหา เดี๋ยวรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมจะมาชี้แจงเอง
นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธาน วินิจฉัยว่า ตระกูลชินวัตร มีทั้งนักการเมือง และไม่ใช่นักการเมือง หากจะอภิปรายก็ขอให้เจาะจงไปอีกเลย อย่างไรก็ขอให้หลีกเลี่ยงหน่อย
นายสุรเชษฐ์ จึงสอบถามว่า ตกลงแล้วจะให้ตนอภิปรายชื่อนายทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ เนื่องจากในการยื่นญัตตินั้น มีการให้นำชื่อออก
นายพิเชษฐ์ จึงกล่าวว่า เอาชื่อออกแล้ว หากจะพูดชื่อนายทักษิณ ชินวัตร ก็พูดไปเลย
นายก่อแก้ว ย้ำว่า ต้องไม่พาดพิงถึงบุคคลที่สามที่เป็นบุคคลภายนอก และยังมีข้อห้ามที่ห้ามพูดชื่อที่มีนัยยะที่สังคมเข้าใจกันว่า คือบุคคลใด เพราะนายใหญ่ ทั่วประเทศ รู้อยู่แล้วว่าคือนายตน อย่าแกล้งโง่
นายพิเชษฐ์ กล่าวอีกว่า การที่เราตัดชื่อ และคำว่าบิดาออก หากใช้คำว่านายใหญ่ ก็อาจจะยังไม่เข้าใจได้ แต่ในเรื่องของตระกูลชินวัตร อาจทำให้คนที่ไม่ใช่นักการเมืองเสียหาย จึงขอให้หลีกเลี่ยง หากจะระบุชื่อบุคคลภายนอก ก็รับผิดชอบเอง หากเกิดการฟ้องร้อง เราให้ตัดชื่อ คนออกแล้ว ถ้าจะฝืน ก็แล้วแต่ พูดไปเลย หากยังจะก้าวร้าวต่อจากนี้ ก็จะเป็นปัญหาต่อตัวท่านเอง
ด้านนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน หารือ โดยกล่าวชื่นชมประธานสภาที่วินิจฉัยได้เป็นกลาง ทำให้การประชุมไปได้ราบรื่น และเมื่อสักครู่การที่ประธานกล่าวหานายสุรเชษฐ์ ว่าก้าวร้าว อาจจะรุนแรงไปสักนิด เนื่องจากนายสุรเชษฐ์ก็อภิปรายไปตามบุคลิก ท่วงท่า ในอภิปรายไม่ไว้วางใจ อาจจะมีการใช้น้ำเสียงที่ดูหนักหน่วงบ้าง แต่ตนก็คิดว่า ไม่ได้ถึงกับก้าวร้าวอะไร ก็ขอฝากไว้ แต่อย่างไร ก็ชื่นชมที่ประธานที่วินิจฉัยได้เป็นกลาง และทำได้ดีมาก
Advertisement