วันนี้ (24 มี.ค.68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงประเด็นการส่งชาวอุยกูร์กลับจีนที่ฝ่ายค้าน กังวลจะส่งผลกระทบต่อไทยว่า การกล่าวอ้างต่างๆ ของนายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม ในประเด็นเรื่องอุยกูร์ถือเป็นนักโกหกตัวยง และอาจจะพูดเพราะไร้ประสบการณ์ ไม่เคยบริหารประเทศ จึงพูดหลายเรื่องโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ และความมั่นคงของชาติ ใช้แต่จินตนาการ นำสิ่งเหล่านี้มาวิจารณ์คนอื่นว่าเป็นนักต้มตุ๋นเป็นนักแสดง
ทั้งนี้ปัญหาชาวอุยกูร์ เป็นปัญหาที่ตกค้างมานาน ซึ่งชาวอุยกูร์มีความผิดเรื่องเข้าประเทศผิดกฎหมายโทษอย่างสูง 2 ปี แต่ที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ปัญหาได้จึงต้องคุมขังมาถึง 11 ปี
ปัญหาของประเทศไทยอยู่บนทาง 2 แพร่ง ทำให้รัฐบาลที่ผ่านมาไม่กล้าตัดสินใจ แต่รัฐบาลนี้อาสาเข้ามาแก้ปัญหาหลายเรื่อง ตามที่นายกรัฐมนตรีย้ำว่า เรื่องใดแก้ได้ต้องรีบแก้ และหาทางออกให้ได้ อย่าปล่อยให้รัฐบาลเข้ามาแล้วไม่ทำอะไร ซึ่งปัญหาอุยกูร์เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องดำเนินการ
ทั้งนี้เป็นเรื่องน่าเศร้าใจที่ได้ยินบางคำพูดจากคนรุ่นใหม่ว่า ให้คุมขังพวกเขาเหล่านี้เพื่อใช้ต่อรองกับมหาอำนาจ จึงขอย้ำว่าอย่ามองคนอื่นเป็นสินค้า ขอให้มองถึงความเป็นมนุษย์
การแก้ปัญหาชาวอุยกูร์มีให้เลือก 3 ทาง คือคุมขังต่อไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควร
หนทางที่ 2 คือส่งไปประเทศที่ 3 ซึ่ง ก็ปรากฏว่าไม่มีเอกสารหลักฐานหรือหนังสืออย่างเป็นทางการจากประเทศใดที่จะขอรับชาวอุยกูร์ หรือ ให้สิทธิผู้ลี้ภัย แม้แต่องค์กรระหว่างประเทศก็ไม่ใยดี ดังนั้นเรื่องประเทศที่ 3 จึงเป็นความเพ้อฝันของคนบางคน
แนวทางที่ 3 คือส่งไปประเทศที่เป็นเจ้าของซึ่งการที่นายกัณวีร์ มาบอกว่า ไม่ใช่ชาวจีน หรือมีหลักฐานว่าเป็นชาวตุรกีนั้น ถือเป็นเรื่องโกหก เพราะมีหลักฐานว่าทั้ง 40 คนเป็นคนจีน และมีหลักฐานแน่นอนว่าทั้ง 40 คนสมัครใจกลับจีน
โดยย้ำว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่มีความสบายใจนัก ซึ่งเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆมาพูดคุยแล้วก็ได้แสดงความห่วงใย แต่หลังจากได้ชี้แจงแล้วแต่ละประเทศก็เข้าใจ และยืนอยู่บนข้อเท็จจริงไม่ใช่อยู่กับความเพ้อฝัน
ทั้งนี้ขอย้ำว่า จีนได้มีข้อตกลงกันในแง่สิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะการออกจดหมายรับรองอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นจดหมายสำคัญระดับประเทศ และนายกรัฐมนตรีก็ได้ไปพบกับผู้นำระดับสูงของจีน ซึ่งทางจีนก็ยืนยันจะดำเนินการอย่างดีที่สุด
โดยหลักการส่งชาวอุยกูร์กลับจีน อยู่ภายใต้ พันธกรณี 5 ด้าน คือคำนึงถึงอธิปไตยของไทย ดำเนินการภายใต้กฎหมาย คำนึงถึงความสัมพันธ์ และความมั่นคงของชาติ คำนึงถึงหลักการเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะการไม่ส่งคนไปยังที่อันตราย เผชิญกับความทรมาน หรือทำให้เกิดสูญหาย และเป็นการพิจารณาโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยความรอบคอบ
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินการไปตามหลักการ พร้อมย้ำว่าประเทศไทยไม่ได้เลือกข้างใด แต่เป็นการเลือกประเทศไทย ให้ยืนอยู่ได้และไม่เกิดปัญหาตกค้าง รวมทั้งพยายามให้มหาอำนาจอดทนอดกลั้น แก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี
พร้อมย้ำว่าการแก้ปัญหาเรื่องนี้ต้องใช้ระยะเวลาการพูดคุยกันหลายฝ่าย เพื่อให้ประเทศชาติหลุดพ้นจากความขัดแย้งเหล่านี้ และจากเสียงสะท้อนในสังคมออนไลน์ ก็สนับสนุนแนวทางของรัฐบาล
ทั้งนี้นายกัณวีร์ โกหกหลายเรื่อง ซึ่งจากการเดินทางไปมณฑลซินเจียงอุยกูร์ที่ผ่านมา ได้เห็นข้อเท็จจริงด้วยตา และพาสื่อมวลชนร่วมเดินทางไปพิสูจน์ความจริง ซึ่งในช่วง 2 วันได้พบชาวอุยกูร์ 12 ใน 40 คน ทุกคนต้องการเลือกอนาคตตนเอง และอยากอยู่อย่างสงบ
พร้อมอ้างถึงข้อมูลชาวมุสลิมในอุยกูร์ว่า เป็นมุสลิมแนวปฏิรูปและสุภาพสตรีสามารถเดินคล้องแขนสุภาพบุรุษได้ ไม่เหมือนกับมุสลิมทั่วไป
โดยย้ำว่าไม่กลัวความจริง เพราะพูดด้วยความจริงทั้งหมด และยอมรับว่ารู้สึกผิดหวังที่คิดว่าจะได้เห็นคนรุ่นใหม่ แต่กลับคิดแค่เกมการเอาชนะ โดยนายกัณวีร์ถือว่าพลาด ที่มาพูดเรื่องชาวอุยกูร์โดยไม่ ค้นหาข้อเท็จจริง และควรเก็บเป็นบทเรียนและทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์
ขณะที่นายกัณวีร์ ขอใช้สิทธิ์ชี้แจงโต้ข้อกล่าวหาเป็นนักโกหก ว่า แม้ไม่เคยบริหารประเทศแต่เคยบริหารองค์กรระหว่างประเทศ และ ข้อการกล่าวหาว่าไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ขอบอกว่า จบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมา และทำงานในองค์กรระหว่างประเทศก่อนหน้านี้พร้อมย้ำว่าไม่ได้จินตนาการเรื่องประเทศที่ 3 ขอรับชาวอุยกูร์ แต่ได้ข้อมูลมาจากกระทรวงการต่างประเทศ
Advertisement