ตำรวจ เผย คนเตรียมชุดให้ “ประสิทธิ์ เจียวก๊ก” หลบหนีคือผู้เสียหายที่ร่วมลงทุน เชื่อถ้าช่วยออกมาจะได้เงิน 10 ล้านคืน
สืบเนื่องจากปี 2564 กองบัญชาการตํารวจสอบสวนกลางได้จับกุมและดําเนินคดี กับนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก ในความผิดฐาน "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกง ประชาชนและความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ” รวม 6 คดี หลังจากมีพฤติการณ์หลอกลวงประชาชน ให้ร่วมลงทุนในธุรกิจประเภทต่างๆ เช่น การปล่อยเช่ากระเป๋าแบรนด์เนม ลงทุนซื้อคูปองทอง ลงทุนซื้อ แพ็กเกจท่องเที่ยว หรือลงทุนออมในระบบสหกรณ์ออมทรัพย์ โดยอ้างว่าจะให้ผลตอบแทนจํานวนมาก ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่สูงเกินความจริงอันจะสามารถประกอบกิจการได้ จนมีกลุ่มผู้เสียหายจํานวนหลายรายเข้ามาแจ้ง ความร้องทุกข์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาคดีในชั้นศาล 2 คดี ส่วนนายประสิทธิ์ฯ ถูกสั่งคุมขัง ระหว่างพิจารณาคดีอยู่ที่เรือนจําเรือนจําพิเศษกรุงเทพ
ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ธ.ค.2565 เวลาช่วงเช้าเจ้าหน้าที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพ ได้คุมตัว นายประสิทธิ์ฯ ผู้ต้องขังมาที่ศาลอาญา เพื่อเบิกความและตรวจพยานหลักฐานในคดีที่พนักงานอัยการ สํานักงานคดีเศรษฐกิจ และทรัพยากร 2 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายประสิทธิ์ เจียวก๊ก กับพวกรวม 9 ราย เป็นจําเลย ณ ห้องพิจารณาคดี 903 (คดีหลอกลงทุนกระเป๋ากับบริษัท วีเลิฟยัวแบ๊ก (ไทยแลนด์)
เวลาประมาณ 10.30 น. ตํารวจกองบังคับการปราบปราม ได้รับการประสานจากศาลอาญาว่า ผู้ต้องขังชื่อ นายประสิทธิ์ เจียวก๊ก พยายามหลบหนีระหว่างการพิจารณาคดี โดยนายประสิทธิ์ฯ อ้างว่าท้องเสีย จึงได้ขออนุญาตไปเข้า ห้องน้ำบริเวณชั้น 9 ของศาลอาญา และใช้จังหวะนั้นฉวยโอกาสปลดเครื่องพันธนาการที่ข้อเท้า และทําการเปลี่ยนเสื้อผ้าที่มีคนนํามาให้ หลังจากนั้นจึงวิ่งหลบหนีออกจากห้องน้ำชั้น 9 แต่ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไว้ได้ที่ บริเวณบันไดชั้น 3 ของศาลอาญา
จากการสืบสวนและตรวจสอบรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง ทราบว่ามีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น ได้แก่ นายสมประสงค์ฯ (สงวน นามสกุล) อายุ 56 ปี เป็นผู้ที่นําเสื้อผ้ามาให้นายประสิทธิ์ฯ เปลี่ยนในห้องน้ำที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นหนึ่งใน ผู้เสียหายที่ร่วมลงทุนกับนายประสิทธิ์ฯ จํานวนกว่า 10 ล้านบาท ที่ยังคงเชื่อว่าหากไม่แจ้งความร้องทุกข์ และ คอยติดตามช่วยเหลือเรื่องคดีให้นายประสิทธิ์ฯ จะได้รับเงินจํานวนดังกล่าวคืน และยังมีกลุ่มอดีตพนักงาน กลุ่ม เลขานายประสิทธิ์ฯ รวมทั้ง กลุ่มผู้ช่วยทนายความ ให้การช่วยเหลือและรู้เห็นในการวางแผนหลบหนีครั้งนี้
ทั้งนี้ พบพยานหลักฐานเชื่อได้ว่าการพยายามหลบหนีในครั้งนี้มีการวางแผน ตระเตรียม มาก่อนล่วงหน้า และหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐให้การช่วยเหลือ หรืออํานวยความสะดวกให้ผู้ต้องขัง หลบหนี เจ้าหน้าที่จะได้ทําการสืบสวนขยายผล ติดตามผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมาดําเนินคดีต่อไป
เบื้องต้นการกระทําของนายประสิทธิ์ฯ เป็นความผิดฐาน “หลบหนีระหว่างที่ถูกคุมขังตาม อํานาจของศาล” ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ในส่วนของผู้สมรู้ร่วมคิดในการช่วยเหลือนายประสิทธิ์ฯ เข้าข่ายเป็นความผิดฐาน “ช่วยให้ผู้ที่ถูกคุมขัง ตามอํานาจของศาล ของพนักงานอัยการ ของพนักงานสอบสวนหลุดพ้นจากการคุมขัง” ต้องระวางโทษ จําคุก ไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ทั้งนี้ศาลอาญาจะมีการพิจารณาตั้งข้อกล่าวหาผู้ที่เกี่ยวข้องในความผิดฐาน “ละเมิดอํานาจศาล” ซึ่งมี โทษจําคุกไม่เกิน 6 เดือนด้วยเช่นกัน
Advertisement