ลุงพลและเมียร่ำไห้ ออกไปเก็บของเก่า แต่โดนกล่าวหาว่าขโมยแหวนและต่างหูเพชรหายในถังขยะ ยืนยันไม่ได้เอาไป
จากกรณีเพจข่าวบ้านดุงอัพเดต ได้โพสต์ภาพสามีภรรยากับสามล้อเครื่อง พร้อมข้อความว่า “พ่อผมไม่ใช่ขโมย ชาวบ้านเขตอำเภอเมืองจังหวัดอุดรธานี ส่งข้อความช่วยเหลือมาหาทางบ้านดุงอัพเดท ว่าวันหนึ่งพ่อกับแม่ ไปคุ้ยขยะหาของเก่าอยู่หน้าบ้านคนรวย แล้วโดนแจ้งความจับว่าขโมยแหวนเพชร เก็บแหวนเพชรได้แล้วไม่ยอมคืน เพราะว่าเจ้าของบ้านบอกว่าลืมแหวนเพชรไว้ในถังขยะ พ่อแม่ก็ยอมให้ค้น และก็ไม่เจอ ไปแจ้งความดำเนินคดีพ่อแม่ผม ท่านทำอาชีพนี้มาเกือบ 20 ปี ไม่เคยขโมย ผมไม่อยากให้พ่อให้แม่ผมมาติดคุกตอนแก่ ทั้งที่ท่านไม่ได้ขโมย ขอความเป็นธรรมร้องสื่อช่วยพ่อแม่ผมด้วยนะครับ”
วันที่ 15 มีนาคม 2567 เวลา 12.00 น. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบนายพล ทองสีสุก หรือตาพล อายุ 68 ปี และนางวิรุณรัตน์ สารีบุตร หรือยายหน่อง อายุ 58 ปี อยู่ที่ชุมชนผาสุก เขตเทศบาลนครอุดรธานี ซึ่งทั้งสองนอนอยู่ในบ้านไม่ได้ออกไปเก็บของเก่าเหมือนทุกวัน และมีหน้าตาวิตกกังวล โดยนายพลเล่าว่าตนทำอาชีพเก็บของเก่ามาตั้งแต่ปี 2546 หรือประมาณ 20 ปี หาเงินเลี้ยงครอบครัว มีตนภรรยาและแม่ยาย อายุ 90 ปี ส่วนลูกชายทำงานเป็น รปภ. ตนและภรรยามีความรู้สึกกังวลใจที่ถูกกล่าวหาว่าขโมยแหวนเพชรที่คนรวยหลงเอามาทิ้งขยะ แล้วตนมาเก็บของเก่าในขยะในวันเดียวกันทำให้เป็นผู้ต้องสงสัย
นายพลเล่าว่าก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 16.00 น. วันที่ 7 มีนาคม ตนและภรรยาขับรถสามล้อเครื่องไปเก็บของเก่าในถังขยะ ตามเขตเทศบาลนครอุดรธานีพอไปถึงถังขยะตั้งอยู่บนฟุตบาธ พื้นที่ว่างเปล่าริมถนนวัฒนานุวงศ์ ตรงกันข้ามร้านขายอุปกรณ์เกมส์คอมพิวเตอร์ ตนและภรรยาก็ค้นหาของเก่าตามปกติ โดยจะเน้นขวดพลาสติกและกระเป๋องน้ำอัดลมเสร็จ แล้วก็ขับรถสามล้อเก็บของเก่าไปเรื่อย ๆ แล้วกลับมาแยกขยะเตรียมขายที่บ้าน
วันต่อมาวันที่ 8 มีนาคม ตนและภรรยาก็ขับสามล้อเครื่องไปเก็บของเก่าบริเวณถนนอุดลยเดช ก็ได้มีผู้ชายเข้ามาถามว่าเมื่อวานได้ไปเก็บของเก่าที่ถังฝั่งตรงข้ามร้านขายอุปกรณ์เกมส์คอมพิวเตอร์หรือไม่ ถ้าได้ไปเก็บเห็นแหวนเพชรและต่างหูอยู่ในกระดาษทิชชูในถุงขยะหรือไม่ ซึ่งตนบอกว่าไม่เห็น จึงเชิญตนและภรรยาไปโรงพัก เพื่อให้ตำรวจสอบถามว่าเห็นแหวนเพชรหรือไม่ หากพบเห็นก็ให้เอาคืนเจ้าของ ซึ่งตนบอกว่าไม่เห็นหากตนเห็นก็จะคืนให้ เพราะตนไม่มีนิสัยลักเล็กขโมยน้อย สามารถตรวจสอบประวัติตนได้ เสร็จแล้วก็ปล่อยตัวกลับบ้าน วันที่ 10 มีนาคมก็ได้เชิญตนและภรรยาไปโรงพักอีก ตนจึงชวนประธานชุมชนไปดูกล้องวงจรปิดด้วย จึงได้ดูกล้องวงจรปิดแต่ก็เห็นตนเก็บของเก่าโยนขึ้นรถเท่านั้น
“จึงได้ทราบว่าเจ้าของร้านเกมส์ถอดแหวนเพชรต่างหู และฟันปลอมห่อด้วยกระดาษทิชชูวางไว้ในห้องน้ำ แต่สามีไม่รู้ว่าเป็นห่อแหวนเพชร นึกว่าขยะจึงหยิบใส่ถุงหูหิ้วพลาสติกนำไปทิ้งขยะเวลา 12.30 น. ส่วนตนไปเก็บ16.20 น. ตนและภรรยาก็ยังยืนยันว่าไม่เห็นแหวนเพชรและต่างหูแต่อย่างใด แต่เจ้าของร้านบอกว่าเสียความรู้สึก แล้วความรู้สึกพวกตนหล่ะแม้จะเป็นคนจนก็เสียใจ อาจจะหลงลืมที่เก็บก็ได้มีการไปลงบันทึกประจำวันเอาไว้ ส่วนตำรวจบอกว่าจะออกหมายเรียกให้ตนไปปฏิเสธบนศาลนะ ก็แสดงว่าพวกตนจะต้องถูกดำเนินคดีทั้งที่พวกตนไม่ได้ขโมย หลังจากวันนั้นเป็นต้นมาตนและภรรยาก็รู้สึกเสียใจ กังวลใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ กลัวจะถูกดำเนินคดี ภรรยานอนร้องไห้ทุกคืนจนผอม”
ส่วนนางวิรุณรัตน์ หรือยายหน่อง ยกมือไหว้พร้อมกับพูดทั้งน้ำตาว่าให้เลิกดูถูกพวกตน ซึ่งเป็นคนจน ตนได้ไปแสดงความบริสุทธิ์ใจแล้ว ขอร้องอย่าว่าพวกตนเอาแหวนเพชรไป ตนไม่เห็นแหวนเพชรจริง ๆ ตนไม่ได้ขโมยตั้งแต่เกิดเรื่องมา 1 สัปดาห์ ก็รู้สึกไม่สบายใจแม้ว่าจะยากจนก็ไม่คิดจะเอาของคนอื่น
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่ถังขยะที่เกิดเหตุพบว่าเป็นถังขยะสีน้ำเงิน 2ถัง ตั้งเรียงกันอยู่บนฟุตปาทหน้าพื้นที่ว่างเปล่า อยู่ตรงข้ามกับร้านจำหน่ายอุปกรณ์เกมส์คอมพิวเตอร์ จึงได้เดินหากล้องวงจรปิดปรากฎว่ามุมภาพกล้องวงจรปิดของเทศบาลนครอุดรธานีส่องไม่ถึงมุมที่ตั้งถังขยะแต่โชคดีมีกล้องหน้ารถยนต์ที่ขับเข้ามาจอดใกล้ถังขยะส่องเห็นนายพลกับภรรยามาเก็บของเก่าในถังขยะพอดี ทำให้ตำรวจทราบเบาะแส
ส่วนญาติร้านจำหน่ายอุปกรณ์เกมส์คอมพิวเตอร์เล่าทางโทรศัพท์เล่าว่าแม่ถอดแหวนเพชรต่างหูห่อกระดาษทิชชูไว้ในห้องน้ำ พ่อนึกว่าเป็นกระดาษธรรมดาจึงได้หยิบเอาไปใส่ถุงขยะมัดปากถุง นำไปทิ้งถังขยะ แต่พอแม่นึกได้จึงไปดูที่ถังขยะก็พบว่าถุงขยะถูกเปิดแล้ว กระดาษทิชชูถูกแกะออกจึงมาเปิดวงจรปิดดูย้อนหลังตั้งแต่ 12.00-16.30 น. ก็เห็นตากับยายขี่สามล้อเครื่องมาเก็บของเก่าเท่านั้นไม่มีคนอื่นอีกเลยจึงไปตามหาและเชิญตัวมาสอบถามที่โรงพัก ไม่ได้กล่าวหาแต่สืบตามกล้องแค่นั้นเองไม่พบหลักฐานไม่มีของกลางจะไปแจ้งข้อหาใคร
Advertisement