อัจฉริยะ ฟ้อง ทนายตั้ม กลั่นแกล้งให้ได้รับโทษทางอาญา ปมแจ้งความเท็จดักฟังโทรศัพท์ ลั่นเป็นเรื่องส่วนตัวต้องติดคุกกันไปข้างหนึ่ง
นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางมายังศาลแขวงปทุมวัน เพื่อยื่นฟ้องนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ในข้อหาแจ้งความเท็จกลั่นแกล้งผู้อื่นให้รับโทษทางอาญา
นายอัจฉริยะ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ทนายตั้มได้ไปแจ้งข้อหาตนเองในข้อหาแอบดักฟังโทรศัพท์ในพื้นที่ 4 จังหวัด คือ ราชบุรี พิจิตร สุโขทัย และกรุงเทพ เขตปทุมวัน เพราะอ้างว่าได้ไปเปิดฟังในพื้นที่ 4 จังหวัดนี้ แต่ข้อเท็จจริงเจ้าของร้านอาหารทะเลในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ได้นำไฟล์คลิปเสียงพูดคุยที่ทวงเงินค่าทนายคืนจากทนายตั้มมามอบให้ตอนเอง จึงไม่ใช่การแอบดักฟัง ซึ่งพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง และคดีถึงที่สุดแล้ว
ในวันนี้ (3 เม.ย.) จึงได้เดินทางมายื่นฟ้องข้อหาแจ้งความเท็จกลั่นแกล้งผู้อื่นให้รับโทษทางอาญากับทนายตั้ม ที่ศาลแขวงปทุมวัน ซึ่งเป็นคดีที่ 2 หลังเมื่อวานนี้ (2 เม.ย.) ได้ไปยื่นฟ้องแล้วที่ จ.ราชบุรี จากนั้นจะไปยื่นฟ้องที่จ.พิจิตร ในวันที่ 25 เมษายนนี้ และที่จังหวัดสุโขทัย ในวันที่ 29 เมษายนนี้ตามลำดับ เพราะทนายตั้มรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีความผิดทางกฎหมาย แต่พยายามจะกลั่นแกล้งตนเองให้ได้รับโทษทางอาญา พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า สาเหตุที่ทนายตั้มเลือกไปแจ้งความในพื้น 4 จังหวัดดังกล่าว เพราะผู้กำกับการสถานีตำรวจ มีความสนิทสนมกับตำรวจระดับสูงในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และก่อนหน้านี้ที่ทนายตั้มเคยแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยด้อยค่าตอนเองและทีมทนายว่า ยื่นฟ้องทนายตั้มไป 6 คดี แต่แพ้รวด เป็นการพูดข้อเท็จจริงไม่ครบทั้งหมด เพราะในส่วนที่ชนะไม่ได้มีการพูดถึง
นายอัจฉริยะ บอกอีกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างตนเองกับทนายตั้ม ที่ต้องมีคนติดคุกกันไปข้างหนึ่ง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกรณีพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แต่อย่างใด เพราะในส่วนที่ต้องทำหน้าที่ได้ทำแล้วเสร็จไปเรียบร้อยและยุติบทบาท รวมถึงได้ถอนฟ้องไปแล้ว
นายอัจฉริยะ ยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือบิ๊กโจ๊ก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางเข้ามอบตัวที่ สน. เตาปูน กรณีถูกหมายจับคดีฟอกเงินเว็บพนัน ว่า ในฐานะคนใต้ด้วยกัน รู้สึกดีใจที่บิ๊กโจ๊กเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และเป็นสิ่งที่ทำถูกต้องแล้ว เพราะเป็นผู้รักษากฎหมาย ก็ต้องยึดกฎหมายเป็นตัวตั้ง เพื่อเป็นแบบอย่างให้ประชาชน และหากไม่ได้มีความผิดตามที่ถูกกล่าวหาก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไร ซึ่งหากบิ๊กโจ๊กเข้าพบพนักงานสอบสวนตั้งแต่ที่มีหมายเรียกออกมา ไม่ใช้เทคนิกศรีธนชัยมากเกินไป ก็คงไม่ต้องถูกออกหมายจับแบบนี้ และเมื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ย้ำว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะมีการเปลี่ยนแปลงตัวเองหากกลับมาได้จะพ้นข้อกล่าวหาต่อไปก็ยังยืนอยู่ยงคงกะพันไม่มีใครทำอะไรได้อีก โดยสิ่งที่ถูกกล่าวหายังไม่ได้ขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรม มีการตั้งกรรมการ ซึ่งเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี แต่ตนเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่จบง่ายยังมีอะไรที่ตามมาอีกเยอะ และส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้ก็พิสูจน์ได้แล้ว ว่า พนักงานสอบสวน สน. เตาปูน ทำถูกต้องโดยชอบตามกฏหมายแล้ว ไม่ใช่อำนาจของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) หรือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และส่วนตัวเชื่อว่า เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆ ยังมีอะไรตามออกมาอีกเยอะ
ส่วนบิ๊กโจ๊กจะหลุดจากแคนดิเดต ผบ.ตร. หรือไม่นั้น ส่วนตัวมองว่าไม่เกี่ยวข้องกัน เพราะตอนนี้ยังเป็นเพียงหารถูกกล่าวหาที่ต้องรอการตรวจสอบ หากกลับมาได้จะอยู่ยืนยงคงกระพันธ์ ไม่มีใครทำอะไรได้อีก และยังมีโอกาสเป็น ผบ.ตร. เพียงแต่อาจมีตำหนิเท่านั้น
นายอัจฉริยะ ยังบอกอีกว่า ที่ผ่านมาตนเองได้ยื่นตรวจสอบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หลายเรื่องแต่ยังไม่ได้ถูกตรวจสอบ แต่สิ่งที่อยู่ในใจหลายเดือนที่ผ่านมา อยากบอกว่า ส่วนตัวรู้จัก พล.ต.ต.นำเกียรติ ธีระโรจนพงษ์ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกอบรมตำรวจนครบาล 1 มานานไม่ต่ำกว่า 3 ปี เป็นคนทำงานตรงฉิน ซื่อสัตย์ ส่วนตัวจึงพร้อมจะไปเป็นพยานให้ ว่า พล.ต.ต.นำเกียรติ ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับบัญชีม้าของมินนี่ เจ้าแม่เว็บพนันออนไลน์ แต่ยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่ถูกดำเนินคดี ทั้งแม่และน้องชายของบิ๊กโจ๊ก ข้าราชการตำรวจหลายรายที่รับเงินไปจำนวนมาก ซึ่งหากทางครอบครัวของบิ๊กโจ๊กมีส่วนเกี่ยวข้องก็ควรที่จะต้องตรวจสอบเช่นเดียวกัน และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเช่นเดียวกัน
ขณะที่เมื่อวาน (2 เม.ย.) นายธนกฤต หรือเสี่ยตี๋ ที่ออกมาแฉคลิปเสียงบัญชีม้า เครือข่ายเว็บพนันที่อ้างถูกทนายตั้มพาไปพักในเซฟเฮาส์ และอ้างว่ารู้จักกับตนเองนั้น ยอมรับว่ารู้จักันจริง ตั้งแต่คดีการเสียชีวิตของแตงโมดาราสาว เพราะเสี่ยตี๋ได้พูดคุยกับทีมงานของนายผอ และได้เป็นพยานให้กับตนเอง แต่คลิปเสียงที่นำมาเปิดเผยเมื่อวาน เสี่ยตี๋ได้นำมาให้ตนเองดูแล้วเมื่อ 3 วันก่อน ซึ่งตนได้ว่ากล่สวและตำหนิไป ว่า เป็นหลักฐานที่ไร้สาระ และไม่น่าเชื่อถือ แต่เขากลับไปติดต่อกับทนายท่านหนึ่ง จึงขอยืนยันว่า ตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องที่เกิดขึ้นและไม่ได้อยู่เบื้องหลังแต่อย่างใด
Advertisement