ทนายพัฒน์ เผย จูน เพ็ญชุลี เสียใจ-เสียความรู้สึก หลัง หนุ่ม กะลา ฟ้องยักยอกเงิน 66 ล้าน ชี้เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อยากให้ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกัน เพื่อให้เรื่องจบ
วันที่ 8 มิ.ย. 67 นาย อนุสรณ์ อะสุระพงษ์ หรือ ทนายพัฒน์ แถลงถึงกรณีที่ นายณพสิน แสงสุวรรณ หรือ หนุ่ม กะลา เตรียมฟ้อง จูน เพ็ญชุลี หนูแก้ว และคนใกล้ตัวอีก 1 ราย เนื่องจากตรวจพบว่าถูกยักยอกเงินออกจากบัญชีบริษัท เป็นจำนวนเงินสูงถึง 66 ล้านบาท ตามที่มีการนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ว่า
ตนได้พูดคุยกับพี่จูนเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา เกี่ยวกับการฟ้อง ซึ่งเรื่องนี้ต้องมองเรื่องวัตถุประสงค์ของการใช้เงินของสามีภรรยาคู่นี้ว่าใช้เงินกันมาตั้งแต่แรกแบบไหนอาจจะเป็นในนามของห้างหุ้นส่วน แต่การใช้เงินนั้นใช้ไปวัตถุประสงค์อะไร มันไม่ได้หมายความว่าโยกจากเงินห้างหุ้นส่วน หรือนิติบุคคลหนึ่งย้ายมาที่ตัวบุคคลแล้วจะผิดทุกกรณี ก็ต้องมาดูว่าโยกเงินออกมานั้น เอาไปจับจ่ายใช้สอยอะไรบ้างที่มีความจำ เป็น และเกิดประโยชน์แก่ห้างหุ้นส่วน และบางส่วนอาจนำมาใช้ในครอบครัวของสามีภรรยาคู่นั้น ก็ต้องดูวิธีการใช้เงินของเขาจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าโอนออกมาเข้าชื่อนี้แล้วจะผิด
ซึ่งตามที่ตรวจรายงานคำฟ้อง ที่ทางคู่กรณีส่งมานั้น ก็มีบางส่วนที่มีอยู่แล้ว เห็นอยู่แล้วว่าเป็นการเบิกเงินสด มีการบรรยายชัดเจน ก็จะมีหลายรายชื่อชัดเจน เรื่องการโอนเงิน ทุกอย่างจะสู้ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่ ในฐานะทนายความก็ต้องเสนอพยานหลักฐานให้ศาลพิจารณา หากมีการต่อสู้คดีกันจริงๆ ว่าศาลจะรับฟังน้ำหนักใครมากกว่ากัน
เราไม่ทราบว่าเจตนาของคู่กรณีว่ามีเจตนาอะไร ทำไมถึงใช้กฎหมายนี้ ซึ่งก็ต้องถามคนที่ฟ้อง เหตุที่พี่จูนไม่ออกมาให้สัมภาษณ์ เท่าที่ตนได้เจอและสัมผัสได้สถานะทางจิตใจค่อนข้างไม่ค่อยโอเค และมีเรื่องของครอบครัว รวมถึงลูกเข้ามาเกี่ยวข้องจึงค่อนข้างที่จะคิดว่าหนักพอสมควรกับเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งก็มีภาวะเครียด และเห็นได้ชัดชัดเจน เมื่อตอนนี้เป็นข่าวแล้ว เป็นคดีมันไม่สามารถที่จะล้ม ซึ่งก็ต้องตั้งสติในการแก้ไขปัญหา ซึ่งพี่จูนก็บอกว่าควรที่จะมาพูดคุยกันดีๆ หรือหาช่องทางเจรจาหรืออาจจะมีผู้ใหญ่มาร่วมพูดคุย เพื่อหาทางออก ไม่อยากให้มีการฟ้องที่เป็นแบบนี้ ยิ่งเป็นคดีอาญาด้วยมันค่อนข้างที่จะถ้าพลาดมาก็มีโอกาสติดคุก
พี่จูนจึงเสียใจและเสียความรู้สึก ส่วนการพูดคุยที่สอบถามกันพี่จูนก็มีการพูดคุยกับคุณหนุ่มทางไลน์ แต่เรื่องปัญหาหลักๆ อาจจะไม่ได้พูดคุยให้ชัดเจน ซึ่งก็ยอมรับว่าไม่รู้ว่าจะมีหมายมาที่บ้าน
ส่วนที่มองว่าบ้าแบรนด์เนมหรือมีการใช้แบรนด์เนมเยอะเยอะ ทนายพัฒน์ กล่าวว่า ตนไม่ได้คุยเรื่องนี้ว่ามีการซื้อแบรนด์เนมหรือบ้าแบรนด์เนม แต่เท่าที่ดูพี่จูนแต่งตัวความรู้สึกส่วนตัว โดยคนปกติที่อยู่ในสังคมระดับนี้หน้าที่การงานครอบครัวสังคมระดับนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่แปลกที่ต้องใช้แบรนด์เนม เพียงแต่ว่าเท่าที่ดูก็ไม่ได้ใช้เกินไป
อย่างไรก็ตามในเรื่องของคดีในการต่อสู้ทางคดีตนไม่ได้มีความกังวลใจอะไร หากมีพยานหลักฐานที่สามารถต่อสู้ได้ตามที่พี่จูนได้ชี้แจงตามช่องทางเฟซบุ๊ก แต่สิ่งที่หนักใจคือ ไม่อยากให้มันมีการต่อเนื่องหรืออะไร แต่อยากให้หาพื้นที่ในการเจรจาและจบ
ส่วนคดีการฟ้องบุคคลที่สาม ที่มีการฟ้องกันไปเมื่อประมาณปีที่แล้ว ศาลชั้นต้นตัดสินให้คู่กรณีจ่ายเงินชดใช้ 4,000,000 บาท แต่ทางคู่กรณีอาจจะไม่พอใจผลคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ก็ได้ยื่นอุทธรณ์อยู่ และทางพี่จูนก็ขยับค่าเสียหายเป็น 10,000,000 บาท ซึ่งต้องรอศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาอีกรอบหนึ่ง ซึ่งปกติเวลาขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์จะใช้เวลาประมาณ 6 เดือน อย่างไรก็ตามพี่จูนขอขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ
อย่างไรก็ตามเรื่องครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเราต้องฟังเหตุผลทั้งสองฝ่าย อาจจะมีไม่มีใครถูกหรือใครผิด เพียงแต่เขาอาจจะไม่เข้าใจกัน และยังไม่มีเวลาหาพื้นที่ในการเจรจากันอย่างจริงๆ คดีลักษณะนี้มักจะจบที่การเจรจา ซึ่งอยากให้ทั้งคู่ปรับความเข้าใจกันได้จริงๆ เพื่อให้เรื่องจบ
Advertisement