ญาติธรรมฮือฮา พระอาทิตย์ทรงกลดเหนือฟ้าเมืองสุราษฎร์ธานี ขณะเด็ก 8 ขวบขึ้นเบิกความ ด้านทนายธรรมราช คาดวันนี้ ศาลน่าจะยังไม่มีคำสั่งออกมา
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 2 ก.ค. 67 ที่ จ.สุราษฎร์ธานี จากกรณีที่ศาลเยาวชน และครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี นัดไต่สวนในคดีที่ สำนักงานพัฒนาสังคมเเละความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ.สุราษฎร์ธานี) ยื่นคำร้อง เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ผู้ปกครองของเด็ก 8 ขวบ หยุดกิจกรรมต่างๆ และขอคุ้มครองฉุกเฉินสวัสดิภาพเด็ก และให้ผู้ปกครองและบุตร ประเมินสุขภาพจิต และดูความพร้อมในการเลี้ยงดูบุตร โดยในวันนี้จะเป็นการไต่สวนผู้ถูกร้อง หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการไต่สวนผู้ร้องไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างนั้นเกิดปรากฎการณ์ทางธรรมชาติพระอาทิตย์ทรงกลดเหนือฟ้าเมืองสุราษฎร์ธานี ทำให้บรรดาญาติธรรม ซึ่งมาร่วมเป็นพยานในการเบิกความฝ่ายผู้ถูกร้อง ครอบครัวเด็ก 8 ขสบ เกิดความฮือฮาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปที่บริเวณด้านหน้าศาล
ขณะเดียวกันมีรายงานว่าในช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงที่น้องวัย 8 ขวบกำลังขึ้นเบิกความในชั้นศาล
ด้านทนายธรรมราช สาระปัญญา ทนายความของ ครอบครัวเชื่อมจิต เปิดเผยว่า ตอนนี้ไม่มีความกังวลอะไร ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ หลังไต่สวนวันนี้เบื้องต้นคาดว่าศาลยังไม่ได้มีคำสั่ง อาจจะต้องนัดมาฟังคำสั่งอีกครั้ง เพราะมีพยานหลักฐานจำนวนมาก ส่วนพมจ.สุราษฎร์ธานี มาถามค้านอย่างเดียว ไม่มีการเบิกพยานเพิ่ม
ส่วนประเด็นพระอาทิตย์ทรงกรดเรื่องนี้ตนมองว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ใครเชื่อก็สุดแล้วแต่
ขณะที่ประเด็นเมื่อช่วงเช้าศาลเยาวชนฯ ยกคำร้องหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ตนมองว่าเรื่องนี้ไม่แปลก เพราะเมื่อมีคำร้องให้ลบ ทางเดลินิวส์ก็ลบทันที และมีการตกลงกันแล้วว่าจะไม่ลงข่าวเกี่ยวกับน้องวัย 8 ขวบอีก ตนไม่หนักใจที่การยกฟ้องของศาลเยาวชนฯ จะเป็นแนวทางให้กรณีของ หนุ่ม กรรชัย เพราะพฤติการณ์ต่างกัน เนื่องจากว่าขอให้ลบแต่ไม่ลบ และมีการเผยแพร่ซ้ำ จึงสื่อให้เห็นถึงเจตนา ทั้งนี้ระหว่างการไต่สวนอีก 2 นัด หากคู่กรณีลบก็ยินดีถอนทั้งหมด ทุกอย่างพูดคุยกันได้ ยืนยันไม่มีปัญหากับสื่อ
ส่วนการที่ตนจะฟ้องอีก 30 คดี ตนไม่ได้จะเอาเหตุนี้ไปฟ้องสื่อทุกสำนัก ส่วนใหญ่ตนเพียงขอให้ลบเท่านั้น แต่ตนก็ไม่ได้ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นประชาชน อย่างเช่นกรณีที่น้องวัย 8 ขวบเอาน้ำไปรดหัวผู้ใหญ่ ประเด็นนี้ก็ไม่ได้ฟ้องร้อง เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่ที่ต้องฟ้องร้องคือมีการบิดเบือนว่าน้องเป็นพระพุทธเจ้ามาเกิด เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง แต่การอ้างตัวว่าเป็นองค์เทพมันขึ้นอยู่กับเรื่องความเชื่อ
ส่วนเรื่องหวิดวางมวยระหว่างทนายตุ๋ย และพ่อของน้องวัย 8 ขวบ ทนายธรรมราชเปิดเผยว่า ความจริงไม่ได้มีเหตุการณ์ความรุนแรงขนาดนั้น เป็นเพียงการทักท้วงกัน
ทั้งนี้ทนายธรรมราช ยอมรับว่ามีผู้เสียหายมาร้องตนเรื่องมูลนิธิสีฟ้าชื่อดังที่มีการทุจริตจริง ตนมีหลักฐานทั้งหมด ซึ่งควรถูกดำเนินคดี พร้อมมองว่าเข้าทาง เพราะกำลังมีปัญหากันอยู่
เมื่อถามเรื่องการเชื่อมจิตมีจริงหรือไม่ ทนายธรรมราช เปิดเผยว่า หากให้พิสูจน์จะต้องมีการใช้เครื่องสแกนสมองว่าก่อน และหลังคลื่นสมองเป็นอย่างไร ซึ่งประเด็นนี้น้องวัย 8 ขวบก็เบิกความด้วยตัวเองว่าสามารถพิสูจน์ได้ด้วยการสแกนสมอง ส่วนเรื่องของอนาคามีกลับชาติมาเกิดนั้นก็เป็นความเชื่อของบุคคล และเรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้อยู่ในพระไตรปิฎก รวมถึงคำสอนของพุทธเจ้าก็มีอยู่นอกตำราอีกเยอะ
ต่อมาเวลา 14.00 น. น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือ ต้นอ้อ เป็นหนึ่ง ประธานมูลนิธิเป็นหนึ่ง พร้อมทีมงานของมูลนิธิ ได้เดินทางมาที่ศาลเยาวชนและครอบครัว จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อที่จะมาฟังการไต่สวน คดีที่ พมจ.สุราษฎร์ธานี ยื่นฟ้องขอคุ้มครองเด็ก 8 ขวบ ที่อยู่อยู่ระหว่างการไต่สวน แต่พอมาถึงหน้าศาลเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้เข้าไปภายในศาล จึงได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน บริเวณฝั่งตรงข้ามของศาลว่า
กรณีที่ศาลยกฟ้องสื่อหนังสือพิมพ์ ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี และจะเป็นแนวทางในการสู้คดีอีกหลายคดีที่ทางครอบครัวเชื่อมจิตฟ้อง รวมถึงคดีของตัวเองที่ศาลนัดไต่สวนวันที่ 1 ส.ค. ส่วนคดีที่อยู่ระหว่างการไต่สวนในวันนี้คือ คดีที่ พมจ.สุราษฎร์ธานีฟ้องคุ้มครองเด็ก ก็อยากจะมาฟัง เพื่อเป็นประโยชน์ในแนวทางการสู้คดี แต่เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาต เชื่อว่าวันนี้ศาลน่าจะยังไม่มีคำสั่ง เพราะเห็นว่ามีพยานอยู่ 5-6 ปากขึ้นให้การไต่สวน
และก่อนจะมาที่ศาลได้เดินทางไปดูที่ดินแปลงที่ทางครอบครัวน้อง 8 ขวบมีการประกาศจะสร้างเป็นสถานปฎิบัติธรรมก่อนหน้านี้ และได้ข้อมูลการซื้อขายที่ดินมูลค่าประมาณ 60 ล้านบาท ซึ่งก็ตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปกติ
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงกรณีมีผู้เสียหายส่งข้อมูลให้กับทนายธรรมราช ว่าถูกฉ้อโกง หลอกเอาเงิน น.ส.ชลิดา กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวยังไม่อยากชี้แจง ถ้าทนายธรรมมราชหรือใครอยากจะออกมาพูดถึงเรื่องนี้ก็ปล่อยให้พูดไป เดี๋ยวตนจะออกมาชี้แจงในภายหลัง
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวไม่เกี่ยวกับมูลนิธิ ตอนนี้ขอโฟกัสเรื่องการทำงาน ยอมรับว่ามีคนรักก็มีคนเกลียด และอดีตที่ผ่านมาก็ไม่เคยบอกว่า ตัวเองสวยหรู ซึ่งตอนนี้ก็รู้แล้วว่าใครเป็นคนส่งข้อมูลให้กับทนายธรรมราชเพื่อโจมตี ก็ไม่ได้หนักใจอะไร เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นคนกลุ่มไหน ก็ให้ว่ากันไปตามกฎหมาย เพราะตอนนี้ก็มีทนายที่จะมาดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว
ขณะที่ นายชลกฤต สาตราคม เลขาธิการมูลนิธิเป็นหนึ่ง ผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเป็นหนึ่ง ได้ออกมาชี้แจงกรณีที่มีการพาดพิงว่า มูลนิธิมีการฟอกเงิน ซึ่งขอยืนยันว่าทางมูลนิธิไม่มีการฟอกเงิน หากใครมีข้อมูลก็สามารถที่จะไปยื่นเรื่องตรวจสอบที่นายทะเบียนมูลนิธิได้
ที่ผ่านมาก็ทำงานเพื่อประชาชนไม่มีการฟอกเงินแต่อย่างใด ส่วนกรณีที่บอกว่ามีสมาชิกที่ลาออกก็มีสมาชิกลาออกเพียง 1 ท่าน ด้วยเหตุผลส่วนตัว ส่วนเรื่องของน.ส.ชลิดา ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลไม่เกี่ยวทางมูลนิธิก็ขอให้แยกแยะ เป็นประเด็นๆไป
Advertisement