ลูกค้าเก่าสับแหลกซื้อรถไฟฟ้าค่ายดังก่อนหั่นลดราคา ส่งหนังสือขอเงินส่วนลดคืน ลั่นไม่คิดจะใช้ต่อแล้ว แถมอัดบริการหลังการขาย-ประกันรถยนต์
จากกรณีรถยนต์อีวี BYD ฉลองเปิดโรงงานผลิตรถยนต์ BYD ครั้งแรกในประเทศไทย จัดแคมเปญ BYD Thailand Factory Celebration ลดราคา ATTO 3 สูงสุดถึง 340,000 บาท นั้น
ต่อมาวันที่ 3 ก.ค. 67 มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้ออกมาโพสต์ในกลุ่มเฟซบุ๊ก “BYD THAILAND” ร้องเรียนค่ายรถยนต์ไฟฟ้า ที่ประกาศลดราคากว่า 340,000 บาท ซึ่งผู้โพสต์ได้ซื้อรถในราคาเต็ม ก่อนประกาศลดราคา จึงทำหนังสือขอเงินส่วนลดดังกล่าวคืน
โดยระบุว่า “เรียน ผู้บริหารบริษัท BYD REVER Thailand เรื่อง จดหมายเปิดผนึกเรื่องขอคืนเงินส่วนต่างรถยนต์ไฟฟ้า BYD”
“เนื่องด้วยเมื่อวันที่ 30/01/2566 ดิฉันได้ตกลงซื้อรถยนต์ไฟฟ้า BYD Atto 3 ตอนนั้นทางพนักงานขายแจ้งกับดิฉันว่าให้รีบตัดสินใจซื้อ เพราะอยู่ในช่วงที่รัฐบาลช่วยเหลือ 100,000 บาท เดี๋ยวอีกประมาณ 2 เดือนราคารถยนต์จะขึ้นราคาเพราะมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐจะหมด”
“ดิฉันจึงได้ตกลงซื้อรถยนต์คันดังกล่าวในราคา 1,199,900 บาท โดยทำสัญญาเช่าซื้อกับบริษัทลิสซิ่งแห่งหนึ่ง เมื่อวันที่ 7/2/2566 โดยมีค่าเช่าซื้อทั้งสิ้น 1,389,108 บาท ผ่อนชำระ 84 งวด งวดละ 16,537 บาท ดิฉันผ่อนมาแล้วทั้งหมด 16 งวด ปัจจุบัน ณ วันที่ 2/7/2567 ค่าเช่าซื้อคงเหลือ 1,124,516 บาท”
“ต่อมาเมื่อวันที่ 1/7/2567 ทางบริษัท BYD REVER Thailand ประกาศลดราคารถยนต์ BYD Atto 3 ทุกรุ่น ดิฉันทราบจากเพจ BYD Thaiand โดยรุ่นที่ดิฉันซื้อลดจากราคา 1,199,900 บาท เหลือ 859,900 บาท ลดลงทั้งสิ้น 340,000 บาท ดังนั้นดิฉันจึงคิดว่าดิฉันควรจะได้รับเงินส่วนต่างดังกล่าวคืน เพราะดิฉันได้รับความเสียหายหลายด้าน ดังนี้”
“1. ด้านภาพลักษณ์ ดิฉันตั้งใจซื้อรถยนต์ในงบประมาณล้านกว่าบาท ส่วนหนึ่งเพื่อภาพลักษณ์สังคม เช่น รถยนต์แบ่งออกหลายราคาส่วนหนึ่งบอกฐานะในสังคม ลูกค้าจึงยอมจ่ายแพงกว่า แต่วันหนึ่งรถยนต์ที่ดิฉันต้องจ่ายเงินล้านกว่าบาทกลายเป็นรถยนต์ราคาระดับล่างในตลาดที่ใครๆ ก็ใช้ เรียนตามตรงนะคะดิฉันไม่คิดว่าจะใช้รถยนต์คันนี้ต่อไป”
“2. ด้านราคาขายต่อ ปัญหานี้ต่อเนื่องมาจากข้อแรก เมื่อรถยนต์ราคาล้านกว่ากลายเป็นรถราคาระดับล่าง ดิฉันจำเป็นต้องเปลี่ยนรถยนต์ แต่จะขายต่อยังไงคะ เมื่อรถยนด์ป้ายแดงราคา 859,900 บาท ออกจากศูนย์บริการราคาน่าจะตกลง 20% คงเหลือ 687,920 บาท รถยนต์ใช้มาปีกว่าๆ น่าจะราคาลงประมาณ 40% ลงเหลือ 515,940 บาท เท่ากับว่าภายในปีนิด ดิฉันจะขาดทุนทันที 683,960 บาท ประมาณ 57%”
“3. ด้านบริการหลังการขาย ดิฉันคิดว่าปัญหานี้จะเกิดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะจากประสบการณ์ที่นำรถยนต์เข้าตรวจสภาพตามระยะเลขไมล์ ช่วงแรกจะบริการเร็วมาก เพราะรถยนต์ยังมีคนใช้น้อยไม่ต้องรอคิว แต่อยู่มาประมาณ 1 ปี กว่าจะนัดคิวกับศูนย์บริการได้ต้องรอ 2-3 วัน พอนำรถยนต์เข้าไปก็ต้องรอหลายชั่วโมง เพราะรถยนต์เข้ารับบริการหลายคัน ยังไม่รวมถึงการซ่อมเมื่อเกิดอุบัติเหตุนะคะ มีข่าวว่าต้องรอถึง 3 เดือน ดังนั้นต่อไปรถยนต์ราคาถูกลงลูกค้าจะใช้บริการศูนย์มากขึ้น ขณะที่ศูนย์บริการเท่าเดิมสงสัยซ่อมหนึ่งครั้งต้องรอข้ามปี ปัญหานี้จะรับผิดชอบยังไงคะ”
“4. ด้านประกันรถยนต์ ดิฉันซื้อรถยนต์ปีแรกทำประกันชั้น 1 วงเงินคุ้มครอง 1,000,000 บาท ปีที่สอง ทำประกันชั้น 1 กับอีกบริษัทวงเงินคุ้มครอง 950,000 บาท เนื่องจากบริษัทแรกไม่รับประกันต่ออายุ ล่าสุดมีประกันภัยอีกบริษัทจะไม่รับประกันอีกเช่นกัน ในปีต่อไปดิฉันจะทำประกันกับบริษัทอะไรคะ แล้วถ้าหากมีบริษัทประกันรับจะรับประกันวงเงินคุ้มครองเท่าไหร่ คำนวณคร่าวๆ ปกติรถป้ายแดงจะคุ้มครองวงเงิน 80% หลังจากนั้นจะตกลงปีละประมาณ 10% เท่ากับว่าหากเทียบกับราคารถยนต์ป้ายแดงราคา 859,900 บาท รถยนต์ดิฉันปีที่ 3 ประกันคุ้มครองวงเงินลดลง 40% คงเหลือ 515,940 บาท ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาค่าซ่อมเกินร้อยละ 80 ประกันจะจ่ายวงเงินประกัน อย่างนี้ใครจะรับผิดรอบคะ”
“ดังนั้นด้วยเหตุผลที่กล่าวมา ดิฉันจึงใคร่ขอความกรุณาให้ทางผู้บริหารช่วยพิจารณาถึงความเดือดร้อนของลูกค้าของท่านด้วยนะคะ ที่ดิฉันและหลายๆ คนเป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่ตัดสินใจซื้อรถยนต์ของบริษัท BYD โดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา ถ้าหากวันนั้นท่านประกาศล่วงหน้าว่าอีก 1 ปี จะราคาถึง 340,000 บาท ท่านคิดว่าจะมีคนซื้อรถยนต์ท่านสักคันมั้ยคะ”
“ดังนั้นหากท่านจะกรุณาก็ขอให้ชดเชยราคาส่วนเกินที่ลูกค้าเก่าจ่ายไปให้ครบทุกคน ดิฉันเชื่อว่าสินค้าของท่านจะขายดียิ่งๆ ขึ้นไป เพราะลูกค้าจะเกิดความเชื่อมั่นด้านราคา เพราะตอนนี้หลายคนเกิดความไม่มั่นใจแบรนด์ BYD แล้วค่ะ”
Advertisement