150 เสียงพอดีเป๊ะ! "บิ๊กเกรียง" นั่งรองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 หลังกระบวนการสะดุดเหตุเจอบัตรเขย่ง ทำวุ่นต้องนับคะแนนใหม่
การประชุมวุฒิสภา (สว.) นัดแรก ที่มีพลตำรวจโท ยุทธนา ไทยภักดี สว. ที่อาวุโสสูงสุดเป็นประธานในการประชุมชั่วคราว โดยภายหลังจากที่ที่ประชุมได้มีมติ ให้นายมงคล สุระสัจจะ เป็นประธานวุฒิสภาแล้ว ประธานในที่ประชุมวุฒิสภาได้มีการเสนอชื่อ 4 คน คือ 1.พลเอกเกรียงไกร ศรีรักษ์ 2.นายนพดล อินนา 3.นายปฏิมา จีระแพทย์ 4.นายแล ดิลกวิทย์รัตน์ ซึ่งมีการแสดงวิสัยทัศน์คนละ 5 นาที
โดย พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ ว่า ตนจะยึดมั่นในความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และดำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เทิดทูนและปกป้องสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของประชาชนจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ให้ความเชื่อมั่นกับสมาชิกที่จะดำเนินการทางการเมืองและองค์กรอิสระว่าจะมีความเป็นกลางและสามารถเป็นที่พึ่งพาของประชาชนได้ สภาแห่งนี้จะเป็นหลักในการดำเนินการให้เกิดประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ตนจะเชื่อมั่นในเกียรติของสมาชิกทุกคนในการทำหน้าที่ในที่แห่งนี้ร่วมกัน เคารพเสียงส่วนใหญ่แต่รับฟังและไม่เพิกเฉยต่อเสียงส่วนน้อยที่เห็นต่าง และยืนยันว่าจะดำเนินการทุกอย่างเพื่อให้วุฒิสภาแห่งนี้เป็นที่เชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชน และให้ความสำคัญ รับฟังประชาชน และจะกระทำในสิ่งที่ดีงามเพื่อให้สภาเป็นสภาอันทรงเกียรติ
ขณะนายนพดล อินนา สมาชิกวุฒิสภา แสดงวิสัยทัศน์ ว่า ตนจะทำหน้าที่อย่างเป็นกลางโปร่งใส ตรวจสอบได้ไม่ปฏิบัติหน้าที่เอนเอียงไปตามกระแสสังคมหรือแรงกดดันทางด้านการเมือง เปิดโอกาสให้สมาชิกได้ใช้ความรู้ความสามารถมาใช้ในที่ประชุมแห่งนี้ และเป็นสภาที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนและประเทศชาติได้ ตนอยากเห็นวุฒิสภาแห่งนี้ทำงานในเชิงรุก เข้าหาประชาชน และอยากเห็นกรรมาธิการต่างๆ สัญจรไปยังจังหวัดต่างๆ เพื่อรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชน รวมทั้งเผยแพร่ ประชาธิปไตยแก่เยาวชน เชื่อมระหว่างวุฒิสภาไทยกับวุฒิสภาต่างประเทศ ตนมั่นใจว่าจากประสบการณ์ที่สั่งสมมา 40 ปี เคยทำงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศจะขับเคลื่อนวุฒิสภาไปพร้อมกับสมาชิกทุกคน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนได้เป็นอย่างดี
ด้านนายปฏิมา จีระแพทย์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ ว่า อยากเชิญชวนสมาชิกวุฒิสภาทุกคน ไม่ว่าจะมาจากจังหวัดใดอาชีพใดหรือสิ่งใด แต่วันนี้อยากเชิญชวนให้เป็นสีเดียวกันคือสีแดง ขาว น้ำเงิน รักชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ ตนอยากเชิญชวนให้สมาชิกวุฒิสภาทั้ง 200 คนทำงานอย่างเต็มที่รับใช้ประชาชนและสร้างสังคมไทยให้เกิดความรักความสามัคคีหยุดทะเลาะเบาะแว้ง เราเป็นสมาชิกวุฒิสภาควรเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและปวงชนชาวไทย สมาชิกวุฒิสภาเปรียบเสมือนอวัยวะของร่างกาย ฉะนั้นเราต้องร่วมไม้ร่วมมือกันทำงานเพื่อประโยชน์ประชาชนและประเทศชาติ
ด้านนายแล ดิลกวิทยรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวแสดงวิสัยทัศน์ ว่า วุฒิสภาเป็นสถาบันหนึ่งในกระบวนการเมืองของระบอบประชาธิปไตยที่ต้องเน้นถึงเสรีภาพและความหลากหลาย ความเท่าเทียม และความเป็นสากล การทำงานของวุฒิสภาจึงต้องรักษาหลักการให้เป็นไปตามความเป็นผู้นำและการปฏิบัติของสมาชิก ตนอยากเห็นผู้นำที่มีความหลากหลาย ทั้งอายุหรือความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทั้งนี้เพื่อดำรงความเป็นระบอบประชาธิปไตยไว้ และเพื่อให้สภาแห่งนี้ได้สะท้อนมุมมองที่หลากหลายและครบถ้วนในการช่วยกันกรองกฎหมายให้กับสภาล่าง ตนอยากเห็นทุกสรรพสิ่งและมุมมอง ไม่ว่าจะมาจากกลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่หรือ ไร้กลุ่ม ได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกันในการแสดงออก และรวมถึงคนตัวเล็กที่ไร้เสียง ทั้งปัญหาแรงงาน ชาวไร่ชาวนา ประมง ได้รับน้ำหนัก และให้ความสำคัญไม่น้อยกว่าปัญหาอื่น และต้นขอยืนยันว่าไม่ว่าตนจะได้รับการเลือกหรือไม่สิ่งนั้นจะไม่ทำให้ความมุ่งมั่นของสมาชิกวุฒิสภาทุกคนเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
ช่วงท้ายการนับคะแนน กรรมการตรวจนับคะแนนได้ขานคะแนนใบสุดท้าย ซึ่งเป็นบัตรงดออกเสียง แต่ในจอลงคะแนนได้บันทึกคะแนนครบ 200 คนแล้ว โดยโหวตให้พลเอกเกรียงไกร 150 เสียง , นายนพดล 27 เสียง นายปฏิมา 5 เสียง , นายแล 16 เสียง และบัตรเสีย 2 ใบ ซึ่งกรรมการนับคะแนนสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัดถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้ที่ประชุมถกเถียงกันว่าจะมีการนับใหม่หรือไม่ ใช้เวลากว่า 5 นาที โดย สว. ส่วนหนึ่งได้ลุกขึ้นถามถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากยังไม่ได้รับการสรุปผลออกมา
จากนั้น พลตำรวจโทยุทธนา กล่าวว่า เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้น ควรจะมีการนับใหม่ ก่อนที่นางสาวนันทนา นันทวโรภาส ลุกขึ้นกล่าวว่า เราเสียเวลาแสดงวิสัยทัศน์ 5 นาที แต่นับคะแนนเป็นชั่วโมง ปล่อยให้ไปเป็นกระบวนการตรวจสอบเทปหลังบ้าน ตนเสนอให้ที่ประชุมเดินหน้าเลือกรองประธานคนที่ 2 ต่อ เพราะคะแนนเพิ่มขึ้นมาไม่มีผลทำให้คะแนนเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ประธานในที่ประชุมระบุว่าผลไม่เปลี่ยนแปลง แต่หลักฐานเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่ตรง ตนเชื่อว่าเสียหายต่อสภาของเรา การทำเพื่อให้ผ่านไปคงไม่ถูกต้อง และอยากให้กรรมการแก้ไข
ขณะที่นายอลงกต วรกี ลุกขึ้นให้ความเห็นสนับสนุนประธาน ว่า สภาเรามาอย่างถูกต้อง โปร่งใส ตรวจสอบได้ อย่างไรก็ต้องนับใหม่ แม้จะเสียเวลา
ต่อมานายกมล รอดคล้าย เสนอให้แยกถาดนับหลังบ้านไป โดยไม่ต้องอ่านให้เห็น เชื่อว่าใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีก็น่าจะเสร็จ แต่นายสิทธิกร ธงยศ หารือคัดค้านว่า กระบวนการของเรามันผิด ต้องย้อนใหม่ เดี๋ยวจะผิดข้อบังคับ พอเลิกประชุมก็ตีความกันไปต่างๆ นานา เรามาถึงขนาดนี้ขอให้อดใจและยึดตามข้อบังคับ
จากนั้น สมาชิกได้ทยอยกันยกมือแสดงความเห็น ท้ายสุดประธานวินิจฉัยสรุปว่าต้องนับคะแนนใหม่ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ปรากฎว่า พลเอกเกรียงไกร ศรีรักษ์ ได้คะแนน 150 เสียง , นายนพดล อินนา ได้คะแนน 27 เสียง , นายปฏิมา จีระแพทย์ ได้คะแนน 5 เสียง และ นายแล ดิลกวิทย์รัตน์ ได้คะแนน 15 คะแนนเสียง บัตรเสีย 2 ใบ และงดออกเสียง 1 ใบ
สำหรับ พลเอกเกรียงไกร เป็นอดีตแม่ทัพภาพที่ 4 และยังเคยเป็นประธานที่ปรึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และยังเรียนที่วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นเดียวกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ พลเอกเกรียงไกร เคยให้สัมภาษณ์ ว่ามีความสนิทสนม กับนายอนุทิน ในฐานะเพื่อนเรียนรุ่นเดียวกัน แต่ไม่เคยพูดคุยกันเรื่องลงสมัคร สว. ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าพลเอกเกรียงไกร เป็นอีกหนึ่งคนที่อยู่ในกลุ่ม สว. สายสีน้ำเงิน
Advertisement