ญาติร่ำไห้ แทบขาดใจ เชิญดวงวิญญาณกลับบ้านเกิด “ชาดา” ลั่นไม่เห็นด้วยยกเลิกทัศนศึกษา ชี้ตัดโอกาสเด็ก
เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม จากกรณีรถบัสทัศนศึกษาของโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม ประสบอุบัติเหตุไฟไหม้ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 23 ราย ทั้งนี้ สถาบันนิติเวชได้ทำการตรวจอัตลักษณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำร่างของผู้เสียชีวิตกลับภูมิลำเนา
โดยที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ บรรยากาศการเคลื่อนร่างของนักเรียน และครู ผู้เสียชีวิตกลับภูมิลำเนา มีนักศึกษาพยาบาลตำรวจได้ตั้งแถวเพื่อส่งร่างของเด็กๆ ซึ่งมูลนิธิร่วมกตัญญูได้ปฏิบัติหน้าที่เคลื่อนย้ายร่างโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ท่ามกลางความโศกเศร้า โดยมูลนิธิร่วมกตัญญู จัดรถกู้ภัยนำร่างน้องกลับบ้านจะออกไปทีละ 5 คัน และญาติขอให้หยุดเรียกวิญญาณตรงจุดเกิดเหตุ
ขณะที่่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี่ว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้เดินมากำกับดูแลการเคลื่อนย้ายร่าง ไปบำเพ็ญกุศล ภายหลังจากทราบว่า การพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล ครบถ้วนแล้ว โดยนายอนุทิน ได้ให้กำลังใจผู้ปกครองของผู้เสียชีวิต ท่ามกลางบรรยากาศที่โศกเศร้า มีผู้ปกครองบางรายร่ำไห้ และสวมกอดนายอนุทิน เป็นภาพที่สะเทือนใจอย่างยิ่ง
นายอนุทิน เปิดเผยว่า ต้องขอบคุณทางสถาบันนิติเวชที่ดำเนินการอย่างรวดเร็ว ให้ร่างของน้องๆ ได้กลับบ้าน ไปประกอบพิธี เราจะมีชุดดูแลด้านสุขภาพจิต ประกบผู้ปกครอง ส่วนปลายทาง นายชาดา ไทยเศรษฐ์ และหน่วยงานอื่นๆ จะดูแลอย่างเต็มที่
“ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับศพผู้เสียชีวิตทั้งหมด ไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์แล้ว”
ได้ข้อสรุปกับผู้ปกครองกันว่าจะนำร่างน้องๆ และคุณครูไว้ที่โรงเรียน ทำพิธีกันที่โรงเรียน จะมีการระดมทุกภาคส่วนมาจัดเตรียมสถานที่ ทุกคนจะได้มาให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เบื้องต้นจะสวดอภิธรรม 5 วัน เผาวันที่ 6 ในเรื่องของการช่วยเหลือต่างๆ จะมีเงินจากสำนักนายกรัฐมนตรี จากสำนักงานประกันภัย จากกระทรวงยุติธรรม หรือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเร่งดำเนินการ มอบเงินเยียวยาจุนเจือครอบครัวของผู้เคราะห์ร้าย
ท่านนายกนายท่านได้สั่งการว่า เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่มีความรุนแรง จะต้องดูแลกันเต็มที่ ซึ่งทุกฝ่ายน้อมรับไปปฏิบัติ ล่าสุด มีการส่ง นักจิตวิทยาเข้าไปดูแลครอบครัวผู้สูญเสีย ช่วยกันให้กำลังใจกัน และการช่วยเหลือส่วนต่างๆ จะตามมา
“ผู้ปกครองขอให้อย่ามีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นอีก ขอให้มีมาตรการมีมาตรฐานที่ดีในการดูแลลูกหลานของพวกเขา ซึ่งรัฐบาลก็ต้องน้อมรับเรื่องนี้ไป ดำเนินการอย่างเต็มที่
ต่อมาเวลา 16.00 น. ทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู ได้เดินทางมาในพื้นที่พร้อมกับมีการนิมนต์ พระจำนวน 4 รูป จากวัดโพสพผลเจริญ ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี มาร่วมทำพิธี โดยทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูได้มีการเตรียมข้าวของ ผ้าขาว รวมไปถึงของเซ่นไหว้
ต่อมาเวลา 16.20 น. ขบวนร่างของครอบครัวผู้เสียชีวิตชุดแรก จำนวน 4 ร่าง ได้การเดินทางมาถึงจุดที่เกิดเหตุโดยมีรถของทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู คอยอำนวยความสะดวก รวมไปถึงมีทางเจ้าหน้าที่ตำรวจขับรถนำขบวนทางครอบครัวของผู้เสียชีวิต มาที่เกิดเหตุ โดยมีการเขียนชื่อผู้เสียชีวิตใส่กระดาษ พร้อมกับให้ญาติจุดธูปเรียกดวงวิญญาณกลับภูมิลำเนาที่จังหวัดอุทัยธานี
โดยบรรยากาศระหว่างที่ญาติเรียกชื่อผู้เสียชีวิตกลับบ้านนั้น บรรยากาศเป็นไปอย่างโศกเศร้า ร่ำไห้แทบขาดใจ ขณะที่บางคนถึงกลับเกือบเป็นลม เจ้าหน้าที่ต้องพยุง ตลอดเวลา
จากนั้นนายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ก็ได้ลงพื้นที่ มาดูแล และอำนวยความสะดวกให้กับญาติผู้เสียชีวิตด้วย
โดยนายชาดา บอกว่า ที่คาใจเห็นมีภาพคนขับรถมาช่วยดับไฟ แต่อยากถามว่าทำไมไม่ปลดล็อกประตูรถ แต่ส่วนตัวก็คิดว่าคนขับรถก็คงไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น แต่บางครั้งสัญชาตญาณมนุษย์ มีสัญชาตญาณดี สัญชาตญาณเลว ดังนั้นวันนี้ไม่ควรที่จะโทษใคร หรือประณามซ้ำเติมใครทั้งนั้น แต่ต้องโฟกัส ดูแลเด็ก ที่บาดเจ็บและเสียชีวิต
หลังจากนั้นควรนำบทเรียนมาวิเคราะห์ แต่ก็ต้องบอกว่า เมืองไทย เมื่อเหตุการณ์ผ่านไป สื่อมวลชนหรือทุกคนก็ลืม และเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่เคยเป็นอุทาหรณ์เลย แต่กลับไปโทษแต่คนผิด สิ่งสำคัญคือต้องนำบทเรียนครั้งนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีก
นายชาดา ยังบอกอีกว่า ถามว่าโกรธคนขับรถไหมอารมณ์แรกผมก็โกรธ แต่เมื่อเห็นเขามาช่วยดับไฟ หากมองกลับกัน เขาก็คงกลัว และคิดว่าหากอยู่ก็คงจะโดนรุมประชาทัณฑ์ ซึ่งต้องมองมุมเขาบ้าง อย่ามองมุมเราอย่างเดียว ว่าถ้าเราเป็นเขาเราจะทำอย่างไร ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย สิ่งสำคัญคือบริษัทรถจะเยียวยาเด็กอย่างไร
ส่วนประเด็น ที่มีการให้ยกเลิกทัศนศึกษา นายชาดา บอกว่าไม่เห็นด้วย เพราะมองบางครอบครัวมีฐานะอยากจน ไม่มีโอกาสเหมือนครอบครัวที่มีฐานะ ซึ่งสมัยวัยเด็ก ตนเองก็ยังรู้สึกดีใจมาก ที่จะได้ไปทัศนศึกษา เชื่อว่าเด็กต่างจังหวัดทุกคนมีอารมณ์เดียวกับตนเอง และ ตนเองก็เห็นเพื่อนๆที่เขาไม่มีโอกาส ที่มีฐานะยากจน ก็ดีใจที่จะได้ไปทัศนศึกษาหาความรู้นอกห้องเรียน แต่ถ้าหากจะบอกว่าไม่ให้เด็กเล็กไป ก็ต้องเป็นเรื่องที่มาคุยในรายละเอียด และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่พูดเอามันอย่างเดียว
พร้อมกับยกตัวอย่างว่า เมื่อวานนี้ เด็กที่นั่ง ในรถคันเกิดเหตุ และได้นั่งรถกลับ ที่จังหวัดอุทัยธานี พร้อมลูกสาว และตนเอง ก่อนขึ้นรถบอกว่าหนูไม่ไปรถคันนี้ได้ไหม ตนเองก็ปลอบใจว่ าไม่เป็นไรแล้วลูกมีตำรวจดูแล ปลอดภัยแน่นอน แต่เมื่อเด็กหันไปเห็นเครื่องบิน เขาดีใจมาก มันเป็นความรู้สึกที่ใครไม่เคยเห็นก็จะไม่เข้าใจ ซึ่งเด็กก็แทบลืมเรื่องที่เกิดขึ้น จึงอยากถามว่า เราควรจะไปตัดโอกาสของเด็กหรือไม่ เรื่องนี้จึงต้องควรนำมาพูดกัน ในระบบการศึกษาของไทย แต่ถ้าจะบอกว่าไม่ให้มีการทัศนศึกษาเลย ตนเองไม่เห็นด้วย คิดว่าเป็นความคิดที่แคบไปหน่อย เพราะการทัศนศึกษาเป็นการเสริมความรู้ให้กับเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่ยากจนและด้อยโอกาส
Advertisement