ทนายรณณรงค์-พ.ต.อ.ประทีป ยังไม่ฟันธง ดิ ไอคอน กรุ๊ป เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่ ต้องรอการรวบรวมหลักฐาน การสืบสวนของเจ้าหน้าที่ หากผิดจริงมีสิทธิ์ติดคุกเป็นหมื่นปี
ทนายรณณรงค์ แก้วเพชร์ ประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เผยผ่านรายการ คลุกวงใน ถามตรงถามจริง ทางช่องอมรินทร์ ทีวี เอชดี หมายเลข 34 ถึงประเด็น "ดิ ไอคอน กรุ๊ป" ว่า ณ ตอนนี้มีผู้เสียหายร้องเรียนมาผ่านตนแล้วหลายพันราย แต่อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังไม่สามารถเรียกว่า "แชร์ลูกโซ่" ได้ เนื่องจากยังมีเงื่อนไข องค์ประกอบหลายอย่างทางด้านข้อกฎหมาย บริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป มีหลายสาย มีการขายสินค้า อาจจะเกิดการอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นว่า บอสคนนั้น บอสคนนี้ไปทำเองก็ได้
ส่วนเรื่อง "เทวดา" ทำให้คดีไม่คืบหน้าทั้งๆ ที่มีคนร้องเรียนมาตั้งแต่ปี 2562 นั้น ตนมองว่าอาจจะมีเทวดาอยู่ในหน่วยงานต่างๆ เพราะไม่ว่าผู้เสียหายจะไปร้องเรียนตำรวจ สคบ. หรือหน่วยใดก็ตาม กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ แต่มาวันนี้คดีได้รับการสะสาง ก็คงต้องไปตรวจสอบว่าทำไมที่ผ่านมาถึงไม่เกิดแอ๊คชั่นอะไร หน่วยงานราชการต่างนิ่งเฉยไม่ออกมาป้องกัน แม้มีคนมาร้องเรียน ทำให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก
สคบ.ชื่อก็บอกแล้วว่าคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ไม่ใช่คุ้มครองผู้ประกอบการ หาก สคบ.เข้มแข็ง เข้าไปตรวจสอบว่าเขาจดทะเบียนอีกแบบ แต่ไปประกอบธุรกิจอีกแบบเรื่องมันคงไม่เสียหายขนาดนี้ นอกจากนี้ จากการไปเช็กข้อมูลก็พบว่ามีทนายรับเงินจาก ดิไอคอน กรุ๊ป มา 7 หลัก เพื่อช่วยประสานงาน แต่ไม่ใช่ทนายในกลุ่มของพวกตน ซึ่งมีบางคนดิสเครดิตว่าทนายกลุ่มของตนมีส่วน ก็อยากให้เอาหลักฐาน เอาคลิปมาเปิดได้เลย เพราะขนาดคลิปเทวดายังกล้าเปิด แต่นี่แค่ทนายคงไม่ยากอะไร
ด้าน พ.ต.อ.ประทีป เจริญกัลป์ อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ระบุว่า ดิไอคอนกรุ๊ปเคยเข้ามาหารือ สคบ.ในปี 2563 ว่าอยากจะจดทะเบียนเป็นธุรกิจขายตรง แต่ทำไม่ได้เพราะเข้าข่ายเป็นการขายออนไลน์ แต่พฤติกรรมของบริษัทนี้เหมือนกับการขายตรงเพราะมีแม่ข่าย มีดาวไลน์ ซึ่งตอนนั้นตนก็ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่อะไรในการกำกับธุรกิจขายตรง เพราะย้ายไปหน่วยอื่นตั้งแต่ปี 62 แต่จากการไปสอบถามก็พบว่าช่วงนั้นเริ่มมีคนร้องเรียนแล้ว แต่ยังไม่มาก ส่วนเรื่องที่มีคนอยากให้เปิดเผยเอกสารการจดทะเบียนต่างๆ นั้น ต้องบอกว่าทำไม่ได้เพราะเป็นเอกสารทางราชการ หากนำมาเปิดก็อาจผิดกฎหมาย PDPA ยกเว้นแต่ศาลขอให้เปิด ซึ่งหาก สคบ.ทำไปโดยพลการก็อาจถูกฟ้องกลับได้ เพราะในเอกสารมีเนื้อหาการประกอบกิจการของบริษัท
นอกจากนี้ พ.ต.อ.ประทีป เจริญกัลป์ ยังเปิดเผยถึงกระแสข่าวคลิปเสียงเทวดาคุ้มครองดิไอคอนกรุ๊ป โดยในคลิปมีการเอ่ยชื่อ "ประทีป" ซึ่งใน สคบ.มีคนชื่อประทีปคือตนแค่คนเดียว ในคลิปตนมองว่าเป็นการดูถูกเกียรติยศศักดิ์ศรีของข้าราชการไทยอย่างรุนแรง ตนขึ้นมาในตำแหน่งนี้ด้วยความรู้ความสามารถ ไม่ใช่ให้ใครดันขึ้นมาอย่างที่ในคลิปเสียงแอบอ้าง สคบ.เป็นหน่วยงานที่ไม่มีใครแทรกแซงได้ จากนี้ไปก็จะต้องไปดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อหาต้นตอคลิปนี้
จากเรื่องนี้ตนมองว่า สคบ.ในส่วนของธุรกิจขายตรงควรจะทำงานเชิงรุกให้มากขึ้น เพราะมีคนจดธุรกิจอีกแบบ แต่ไปทำธุรกิจอีกแบบ ทำให้ประชาชนได้รับความเสียหาย ส่วนดิไอคอนกรุ๊ปจะเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่ ตนตอบไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจหน้าที่ตรงนี้ แต่มีข้อกฎหมายบัญญัติไว้อยู่แล้ว หากเข้าข่ายก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามความผิดนั้น ซึ่งแชร์ลูกโซ่ศาลจะพิจารณาตัดสินโทษแบบต่่างกรรมต่างวาระ ทำ 1 คน ผิด 1 ข้อหา นั่นทำให้เวลาตัดสินจึงถูกจำคุกกันเป็นหมื่นๆ ปี
Advertisement