"ทนายตั้ม" บุกดีเอสไอ พาพยานคนสำคัญให้ข้อมูลคดีฟอกเงิน เอาผิด "สามารถ" ยันไม่รู้จัก "บอสพอล" ไม่เคยไปงานเลี้ยง ดิไอคอน ลั่นไม่ได้เป็นเพื่อน "กันต์" บอก แค่เคยไปออกงาน แจงภาพคู่เจอกันบังเอิญที่พัทยา 2-3 ปีที่แล้ว
วันที่ 21 ต.ค. 67 ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ เดินทางมายื่นหนังสือต่อ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทน อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีฟอกเงิน กับนายสามารถ สืบเนื่องจากกรณีที่มีคลิปเสียงปรากฏเรียกรับเงินจากบอสพอล ดิ ไอคอน กรุ๊ป
ทั้งนี้ พ.ต.ต.ยุทธนา กล่าวว่า ในวันนี้ทางทนายตั้มได้นำตัวพยานสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการฟอกเงินมาให้ข้อมูลกับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยเราจะรับตัวเอกสารไว้ และดำเนินการโดยเร็วที่สุด เรื่องคดีฟอกเงินทางดีเอสไอก็ติดตามอยู่ และมีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากเข้าเงื่อนไข ทางดีเอสไอก็จะดำเนินการร่วมกันกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ขณะที่ ทนายตั้ม กล่าวว่า วันนี้ตนพาพยานคนสำคัญมาให้การกับ ดีเอสไอ เรื่องการฟอกเงิน เพื่อขอให้มีการตรวจสอบคลิปเสียง และขอให้ดำเนินคดีเรื่องการฟอกเงินกับนายสามารถ พร้อมทั้งนำพยานหลักฐานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคลิปเสียงการสนทนา คลิปภาพที่ไปออกรายการทุกอย่าง รวมถึงเรื่องเอกสารการโอนเงินมามอบให้กับดีเอสไอด้วย
และพยานคนที่ให้การในวันนี้ เป็นพยานคนสำคัญอยู่ใกล้ และติดตัวกับนายสามารถมาก ซึ่งตนขอให้ดีเอสไอดูแลพยานคนนี้ให้เป็นพิเศษ และเข้าโครงการช่วยเหลือพยาน เพราะกลัวเรื่องความปลอดภัย ทางอธิบดีดีเอสไอก็รับปากตนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ทำให้วันนี้พยานจึงกล้ามา จากที่เมื่อวานตนกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้ลงพื้นที่เก็บรวบรวมพยานหลักฐานมาได้แล้ว ถือเป็นหลักฐานสำคัญ ทั้งเรื่องการโอนเงิน หลักฐานคลิปและพยานบุคคล ซึ่งพยานบุคคลวันนี้ตน พามาที่ดีเอสไอ 1 ท่าน ส่วนอีกท่านเจ้าหน้าที่จะตามไปสอบภายหลัง โดยเรื่องนี้เกิดเหตุเมื่อตอนต้นเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา
เมื่อถามว่า ที่บอกว่าก็เป็นการฟอกเงินนั้นเป็นการฟอกเงินอย่างไร ทนายตั้ม กล่าวว่า การที่มีคลิปเสียงหลุดออกมาว่า นายสามารถรับเงินจากดิไอคอนเดือนละ 100,000 บาท และตอนนี้ที่ดิไอคอนถูกดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกงประชาชน และที่เขาจ่ายเงินให้กับนายสามารถ เขาก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นการจ่ายเงิน เพื่อช่วยในสิ่งที่ผิดกฎหมาย และเงินที่ได้มา ก็เป็นเงินจากผู้ที่กระทำความผิดในฐานฉ้อโกงประชาชน วันนี้ตนจึงมาแจ้งความในเรื่องการฟอกเงินตาม มาตรา3(3) และมาตรา5(3) ตามพ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงิน
ทนายตั้ม กล่าวต่อว่า โดยพยานคนสำคัญคนนี้อยู่กับนายสามารถมานาน รู้เห็นว่ามีการไปนัดพบกับผู้บริหารดิไอคอน เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 67 เวลา 20.00-20.40 น. ที่ร้านอาหารฟาสฟู๊ดแห่งหนึ่งภายในปั๊มน้ำมันใกล้ๆ กับบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ทั้งนี้เรายังสืบไปไม่ถึงว่าเงินจำนวน 100,000 บาทที่นายสามารถได้ทุกเดือนจะเข้าแค่ตัวนายสามารถ หรือเข้าตัวคนที่อยู่เบื้องหลังด้วย ซึ่งตนอยากให้เจ้าหน้าที่ทำงานก่อน เพราะพยานคนนี้ค่อนข้างจะรู้รายละเอียดลึกพอสมควร รอให้เขาให้การกับเจ้าหน้าที่ก่อนดีกว่า
อย่างไรก็ตามการที่พยานคนนี้ออกมา เพราะที่ผ่านมาเขาถูกทำร้าย ถูกตบ ถูกอะไรแบบนี้ เขาก็เป็นมนุษย์ทำงาน ก็อยากได้เงิน แต่ไม่ใช่จะไปกดขี่ข่มเหงเขามันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เท่าที่ทราบเขาอยู่ด้วยกันมาน่าจะเกิน 5 ปี แต่ยืนยันว่าไม่ใช่คนที่อยู่ในแวดวงการเมือง
“ยืนยันว่าที่ทนายกลุ่มผมออกมาเคลื่อนไหว ไม่มีใครสนิทกับนักการเมือง และยืนยันว่าไม่มีใครรับงานการเมืองแน่นอน ทั้งนี้เราก็ต้องดูว่า รมว.ยุติธรรม และอธิบดีดีเอสไอจะเอาจริงเอาจังแค่ไหน และเทวดาจะศักดิ์สิทธิ์แค่ไหน ที่สำคัญหลักฐานจะไปถึงหรือไม่”
ทนายตั้ม กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีการโยงตนว่าเป็นทนายแบรนด์เนม ทนายต.เต่า และพูดประมาณว่า ตนไปร่วมงานเลี้ยงกับดิไอคอนของบางสื่อ เป็นการกระทำที่ไร้จรรยาบรรณมาก เพราะทุกคนเสียสละออกมาช่วยเหลือ หากย้อนกลับไป หากพวกตนไม่ออกมา ผู้เสียหายก็ไม่กล้าออกมาแจ้งความ ตนถือเป็นคนแรกๆที่ไปยื่นดำเนิน คดีกับบอสดิไอคอน ใน 6 ข้อหา เละรวบรวมทีมทนายความออกมาช่วยเหลือประชาชนตรงนี้ แต่กลับถูกด้อยค่าหาว่าเป็นพวกเดียวกันกับนายพอล สลับหน้ามาช่วยผู้เสียหาย หากจะเล่นงานตน หรือเล่นงานใคร อย่าเอาเรื่องนี้มาเล่นเลย เพราะเป็นเรื่องทุกข์ร้อนของชาวบ้าน ทีมทนายความทุกคนออกมาช่วยเหลือประชาชนแต่กลับเจอเรื่องที่กล่าวหาว่าพวกเราทุกคนออกมาตีรวน เพื่อให้เรื่องเสียหาย และช่วยบอสพอล
แล้วมาบอกว่าตนไปงานเลี้ยงดิไอคอน ตนท้าเลยว่าให้หารูปมาซักรูปหนึ่งว่าตนเคยไปร่วมงานของดิไอคอน เพราะยืนยันว่าตนไม่เคยรู้จักกับคนพวกนี้มาก่อน รับประกันได้และที่สำคัญที่บอกว่าตนสนิทกับ ปอ. ก็ไม่รู้ว่า ปอ.คือใคร
ทนายตั้ม กล่าวต่อว่า ตนจะดำเนินคดีคดีกับผู้ที่ออกมาเผยแพร่เรื่องนี้ทั้งหมด และถ้าเห็นว่าตนทำผิดกฎหมาย ก็ขอให้มาแจ้งความกับตนเลย และที่มีการกล่าวอ้างว่าตนรายได้ไม่สัมพันธ์กันนั้น ยืนยันว่าหลังจากที่ตนได้มาเปิดสำนักงานที่กรุงเทพฯ และทำ “ษิทรา ลอว์เฟิร์ม” ตนยื่นภาษีรายได้สูงสุดของบริษัทตนที่รายได้สูงถึง 21 ล้านบาท ยืนยันว่ายื่นภาษีถูกต้อง และเงินเดือนตน 600,000 บาท เพราะเป็นเจ้าของบริษัทเอง จะตั้งเงินเดือนตัวเองเท่าไหร่ก็ได้ ถามว่าตนจะไม่มีปัญญาซื้อเสื้อผ้า และไม่มีปัญญาใช้ของดีได้เหรอ
นอกจากนี้ตนยังมีรายได้ส่วนตัว ทั้งจากการรับเป็นทนายความในบางเคสที่ไม่ได้เข้าบริษัท และในส่วนของงานแสดงที่ไปออกรายการต่างๆ ซึ่ง 1 ปีได้รายได้เกือบ 10 ล้านบาท ตกเฉลี่ยเดือนละ 1 ล้านบาท แต่ประชาชนบางคนก็ว่าตนเรียกแพง ตนเลยไม่มีการเก็บค่าที่ปรึกษาแล้ว กลับไปเป็นทนายตั้มคนเดิม แต่ที่ผ่านมาตนยืนยันว่าไม่ได้ทำธุรกิจสีเทา และไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย หากใครพบข้อมูลสามารถยื่นดำเนินคดีกับตนได้
ทนายตั้ม กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีภาพตนถ่ายรูปคู่กัยนาย กันต์ กันตถาวร พิธีกรชื่อดัง และบอสของดิไอคอนนั้น นอกจากเป็นทนายความแล้ว ทางช่องต่างๆ ก็ชอบชวนตนไปออกงานอีเวนท์ และออกรายการ ตนเคยไปออกรายการร้องข้ามกำแพง ซึ่งก็ไปร้องเพลงกับ บุ๋ม ปนัดดา ในตอนนั้นเป็นคู่สุดท้าย ทำให้ตนรู้จักกับนายกันต์ และเจอนายกันต์ในวันนั้น หลังจากนั้นตนก็ไปกินข้าวที่พัทยากับครอบครัว และไปเจอนายกันต์ก็เลยขอถ่ายรูปร่วมกันเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว แต่บางเพจเอาไปลงว่าตนเป็นเพื่อนกับนายกันต์ ถามว่าเป็นเพื่อนอะไร ตนไม่เคยเป็นเพื่อนอะไรกับเขาเลย ที่ผ่านมาเคยมีภรรยาของเขาเคยมาปรึกษาคดีกับตนแค่นั้น เราไม่เคยมีความสัมพันธ์อย่างอื่นกัน และจากนั้นก็ไม่เคยเจอกันอีกเลย แต่มีการไปโยงว่าเป็นเพื่อนรัก โยงกันไปได้หมด ขนาดไม่มีหลักฐานยังมีคนเชื่อเลย
Advertisement