"ภูมิธรรม" ย้ำ เมื่อคดีตากใบหมดอายุความ ทุกอย่างก็ต้องจบไปตามกฎหมาย ลั่น ออก พ.ร.ก.ต่ออายุคดีทำไม่ได้
วันที่ 24 ต.ค. 67 ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) นาย ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้า คดีสลายการชุมนุมหน้า สภ.ตากใบ ที่คดีจะหมดอายุความในวันพรุ่งนี้ (25 ต.ค 67) ว่า
ได้พูดคุยกับ พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ.ถึงเรื่องนี้ เพียงแต่ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนัก เพราะการมาตรวจเยี่ยมกองทัพบกในวันนี้เป็นการพูดคุยในภาพรวมเท่านั้น
นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ทั้งนี้เรื่องสถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้มีมาโดยตลอด สิ่งที่ห่วงใยในวันที่ 25 ต.ค. 67 ซึ่งคดีตากใบจะหมดอายุความนั้น ก็คงจะมีอะไรที่ต้องเพิ่มเติมมากขึ้น ทางกองทัพและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้สั่งการให้เฝ้าดูเฝ้าระวัง โดยมองว่าเหตุการณ์ต่างๆไ ม่ใช่เพิ่งเกิดในช่วงคดีตากใบใกล้หมดอายุความเท่านั้น แต่มีการก่อเหตุมาโดยตลอดอยู่แล้ว
เมื่อถามว่า การก่อเหตุมีความถี่ขึ้นในช่วงใกล้คดีตากใบหมดอายุความนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นถี่อยู่แล้ว เมื่อถามย้ำว่า มีข้อสังเกตว่าเหตุการณ์เกิดถี่ขึ้นในช่วงวันสองวันที่คดีใกล้หมดอายุ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ก็ต้องไปถามว่า เพราะเหตุใดเหตุการณ์จึงเกิดถี่ขึ้นในตอนนี้
ทั้งนี้เหตุการณ์ตากใบเกิดขึ้นในปี 2547 ผ่านมา 20 กว่าปีแล้ว และโซเชียลมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง ตัดบางส่วนออก และเพิ่มบางส่วนเข้ามา จึงมองว่าต้องเอาเรื่องนี้มาดูข้อเท็จจริงทั้งหมด ซึ่งศาลตัดสินมาแล้ว 4 คดี เพราะฉะนั้นการมาพูดว่ารัฐบาลไม่เคยสนใจใยดีจึงไม่ใช่ และต้องไปดูเหตุการณ์ทั้งหมดของคดีตากใบว่าเกิดขึ้น เพราะอะไร
ทั้งนี้อยากให้ไปดูผลการรายงานสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีคดีของผู้ก่อเหตุ ซึ่งถูกจับเป็นจำนวนมาก โดย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรี ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นได้ยกเลิกคดีให้ทั้งหมด เพื่อหวังให้เหตุการณ์สงบและลดลง แต่การแก้ไขปัญหาในขณะนั้นก็ทำให้เหตุการณ์ในภาพรวมลดลงไม่ได้ เพราะเป็นคนละเงื่อนไขกัน จึงต้องตัดประเด็นตากใบออกจากประเด็นที่มีการเคลื่อนไหว เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องของประชาชนที่มาชุมนุมกัน แต่เป็นเรื่องของหน่วยที่กำลังสร้างปัญหา
พร้อมย้ำว่า เรื่องตากใบไม่ใช่แค่เรื่องของรัฐบาล แต่เป็นเรื่องของรัฐ ซึ่งกำลังถูกคุกคาม จึงอยากให้สื่อช่วยดูตรงนี้ด้วย ไม่เช่นนั้นจะเป็นการกระตุ้นจนรัฐบาลหรือรัฐไทยตกเป็นเหยื่อ เพราะเราเป็นผู้สร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้น และยินดีแก้ไขปัญหาทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎระเบียบของกฎหมาย ซึ่งทำมาจนถึงคดีที่ 4 และได้ข้อสรุปว่า รัฐไม่ฟ้องทั้งหมด เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงได้มีการเยียวยา
โดยในวันนี้ในชุมชนที่รัฐได้เยียวยาไปแล้วประมาณ 600 กว่าล้านบาท และครอบครัวผู้เสียชีวิตก็ได้ไปครอบครัวละ 7 ล้านบาท แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นการซื้อชีวิตคน เพียงแต่เป็นการสื่อว่ารัฐพยายามดูแล และเยียวยาตามที่กฎหมายมีอยู่ และอนุญาตให้เราทำมาจนถึงวันนี้
เช่นนางอังคณา นีละไพจิตร ซึ่งเป็น สว. และนักสิทธิมนุษยชน ก็ไม่ได้พูดถึงประเด็นนี้ แต่พูดเฉพาะเรื่องของคดี ดังนั้นจึงต้องไปดูรายละเอียดว่าคืออะไร แต่เมื่อศาลออกหมายจับ รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจและได้เรียกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งลงพื้นที่ เพื่อไปตามหาผู้ถูกหมายจับในสถานที่ต่างๆ จะเห็นได้ว่าเราทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และสุดความสามารถ
โดยนายกฯ ได้สั่งการตน และนายกฯยังได้เน้นย้ำกับ ผบ.ตร. และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเรื่องนี้รัฐทำหน้าที่ตามบทบาทของตนเองอย่างครบถ้วน แต่ต้องเข้าใจความเป็นจริงว่าต้องจับให้ได้
ส่วนกรณีมีการเสนอ ให้ออก พ.ร.ก.ต่ออายุความคดีตากใบนั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นการพูดที่ไม่ตรงข้อเท็จจริง และไม่เข้าใจกฎหมาย เพราะหลักของกฎหมายนั้นที่จะให้ออกกฤษฎีกามีเรื่องภัยฉุกเฉิน ภัยฉุกเฉินทันที ซึ่งปัญหาเร่งด่วนที่ต้องทำยังมีเงื่อนไขอยู่
ส่วนเรื่องคดีตากใบ ถือว่าไม่เข้าเงื่อนไข แล้วจะทำได้อย่างไร ซึ่งได้ปรึกษากับทางฝ่ายกฎหมายแล้ว และทางฝ่ายกฎหมายแจ้งว่าทำไม่ได้ อีกทั้งกฎหมายออกเพื่อเป็นคุณไม่ได้ออกเพื่อเป็นโทษ หากฝืนทำไปจะเสียหลักความเป็นนิติธรรม และจะมีปัญหาตามมา จึงต้องไปดูว่าจะหาทางออกอื่นได้หรือไม่แต่ในเรื่องของกฤษฎีกา ทำไม่ได้อย่างแน่นอน
ส่วนที่มองว่า พล.อ.พิศาล วัฒนวงศ์คีรี ได้ถูกย้ายจากแม่ทัพภาคที่ 4 ถือเป็นการลงโทษแล้วหรือไม่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาในขณะนั้น จึงต้องไปดูว่าผู้บังคับบัญชาตัดสินใจในเวลานั้น บนพื้นฐานอะไร และมีสภาพแวดล้อมแบบไหน
ส่วนที่ว่าเมื่อผ่านวันที่ 25 ต.ค. 67 คดีหมดอายุความกระบวนการทุกอย่างจะสิ้นสุดไปด้วยเลยหรือไม่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวย้ำว่า "ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย เราเป็นนิติรัฐ นิติธรรม กฎหมายว่าอย่างไรก็ตามนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่า เราดีใจติดปีก เพราะเราก็พยายามทำตามหน้าที่อยู่แล้ว เหมือนกับคดีอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน หากจบแบบไหนก็จบแบบนั้น"
Advertisement