"บิ๊กเต่า" เข้าสอบ "ทนายบอสพอล" เผยคดีที่เอาผิดนักร้อง "กฤษอนงค์-เอกภพ" ชัดเจนระดับหนึ่ง เร่งสืบสวนปมทนายชื่อดังเรียกเงิน 7.5 ล้าน
เมื่อเวลา 10.15 น. ที่ผ่านมา นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ “บอสพอล” ผู้ต้องหาในคดีบริษัท “ดิไอคอนกรุ๊ป” เดินทางเข้ามาที่ศูนย์รับแจ้งความ ตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อให้ปากคำกับตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) กรณีที่ก่อนหน้านี้ได้แจ้งความและนำพยานหลักฐานเป็นคลิปเสียงนักร้องสาวคนหนึ่งที่ตบทรัพย์บอสพอล มาให้กับตำรวจก่อนหน้านี้
โดยนายวิฑูรย์ เปิดเผยว่า วันนี้เป็นการมาให้การเพิ่มเติม ในรายละเอียดของคลิปเสียงต่างๆ ที่เคยส่งให้กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการทำตามขั้นตอน ส่วนเรื่องของการออกหมายเรียกหรือออกหมายจับ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานสอบสวน พร้อมเปิดเผยว่า ในวันนี้มีทีมทนายความอีกหนึ่งทีมที่ได้รับมอบอำนาจ เข้ามาแจ้งความดำเนินคดีกับนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พร้อมพยานเท็จ ซึ่งเบื้องต้นเข้าใจว่าเป็นการแจ้งความในข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และหมิ่นประมาท แต่ตนเองยังไม่ได้สอบถามรายละเอียดกับทีมที่เข้ามาแจ้งความ
ยืนยันว่า ขณะนี้ตนเองทราบชื่อของพยานที่นายเอกภพพามาแล้ว พบว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ส่วนจะเกี่ยวข้องอย่างไรกับนายเอกภพ หรือไม่นั้น ตนเองไม่ทราบ
ส่วนกรณีที่ก่อนหน้านี้นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ออกมาเปิดเผยว่า มีตำรวจกองปราบฯ เรียกรับเงินจากครอบครัวของนายจิระวัฒน์ แสงภักดี หรือ “โค้ชแล็ป” จำนวน 9 ล้านบาทนั้น นายวิฑูรย์ ยืนยันว่า กรณีนี้ตนเองได้มีการสอบถามกับโค้ชแล็ปโดยตรงแล้ว ยืนยันว่าไม่มีตำรวจคนใดมาเรียกรับเงิน รวมถึงสอบถามไปทางทนายความของโค้ชแล็ป ที่ยืนยันกับตนเองว่าได้คุยกับภรรยาของโค้ชแล็ปแล้ว ไม่มีเรื่องเงิน 9 ล้านตามที่นายอัจฉริยะกล่าวอ้าง ส่วนจะดำเนินการอย่างไรต่อกับเรื่องนี้หรือไม่นั้น นายวิฑูรย์ มองว่า เรื่องนี้คนที่เสียหายคือกองปราบฯ กองปราบฯ ก็ต้องจัดการเอง
ส่วนกรณีที่เพจเฟซบุ๊กของดิไอคอนกรุ๊ป โพสต์ว่า จะปิดตึกใหญ่ในโครงการนั้น นายวิฑูรย์ ยืนยันว่า จริง โดยเป็นปิดตึกสำนักงานใหญ่ ให้ไปใช้พื้นที่ของไอคอน เฮ้าส์ คาเฟ่ แทน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย เช่น ค่าไฟ เนื่องจากขณะนี้บัญชีของบริษัทถูกอายัดและอยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งส่วนตัวก็ยังกังวลเรื่องการจ่ายเงินให้กับผู้ที่ร่วมทำธุรกิจเช่นกัน
โดยยืนยันว่าการปิดสำนักงานใหญ่ไม่กระทบกับการดำเนินกิจการ ขณะนี้โรงงานยังคงผลิตสินค้าเพื่อส่งให้ลูกค้าตามออเดอร์ และเชื่อว่าไม่ได้กระทบภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือของบริษัท
ส่วนผู้เสียหายที่จะเข้ามาลงทะเบียนขอรับการเยียวยากับบริษัทนั้น นายวิฑูรย์ ระบุว่า ขณะนี้ขอปิดการลงทะเบียนชั่วคราว เพื่อตรวจสอบก่อนว่ารายชื่อที่ลงมาเบียน ใครบ้างที่เป็นผู้เสียหายที่แท้จริง
ต่อมา พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. เดินทางเข้าสอบปากคำทนายด้วยตนเอง โดยสอบนานกว่า 1 ชั่วโมง ก็ออกมาเปิดเผยความคืบหน้า กรณีนายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล เข้าแจ้งความเอาผิด น.ส.กฤษอนงค์ สุวรรณวงศ์ เจ้าของเพจกฤษอนงค์ต้านโกง และ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด
โดย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ได้มีการเรียกประชุม โดยสั่งการให้เร่งรัดการดำเนินการในหลายคดี และทำทุกมิติ ให้เป็นไปได้ด้วยความโปร่งใสตรวจสอบได้ ซึ่งวันนี้ทนายบอสพอลได้เข้ามาร้องทุกข์ 2 เรื่องกับบก.ปอท. โดยเรื่องแรกคือแจ้งความเอาผิดน.ส.กฤษอนงค์ และเรื่องที่สองร้องเอาผิดกับนายเอกภพ นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่มาร้องกับบก.ป. ให้สืบสวนกรณีเรียกรับเงิน 7.5 ล้านบาท ของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ก่อนที่จะมีการจับกุมบอสพอล พบว่ามีการประสานงานผ่านโทรศัพท์มาจากสำนักงานษิทรา ลอว์เฟิร์ม ซึ่งขณะนี้มีความชัดเจนในระดับหนึ่ง จะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสัปดาห์นี้ แต่ด้วยทนายบอสพอล ติดภารกิจหลายเรื่อง จึงทำให้มาร้องทุกข์ได้ในวันนี้ หลังจากนี้จะเร่งรัดทุกอย่างให้เร็วที่สุด
เมื่อถามว่าคลิปเสียงนักการเมือง คาดว่าจะเข้าข่ายความผิดหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า ตนทราบมาว่าดีเอสไอ พบเส้นเงินที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองคนดังกล่าว แต่ตนยังไม่เห็นหลักฐาน จึงยังไม่อยากให้ความเห็นในเรื่องนี้ ให้เป็นหน้าที่ของดีเอสไอก่อน แต่หากพบพยานหลักฐานจริง ดีเอสไอก็จะต้องเพิ่มข้อหาฟอกเงินไปด้วย
สุดท้ายตนอยากฝากถึงนักเคลื่อนไหวที่ช่วยเหลือประชาชนว่า “ตำรวจเข้าใจในบทบาทของจิตอาสาหรือชมรมต่างๆที่จะช่วยเหลือประชาชนอย่างดี ไม่ได้จำกัดความช่วยเหลือ ตำรวจยินดีที่จะทำให้ทุกเรื่อง แต่อยากจะแจ้งไปยังทุกท่านที่จะมาดำเนินการอะไรก็แล้วแต่ ขอให้ตรวจสอบพยานหลักฐานข้อเท็จจริงก่อน โดยจะต้องกลั่นกรองมาอย่างดี เพื่อที่จะเอามาให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ และอยากให้เข้าไปคุยกับพนักงานสอบสวนก่อน เมื่อปรากฏว่ามันมีหลักฐานจริง หากจะมาให้ข้อมูลอะไรก็จะไม่ถูกดำเนินคดีหมิ่นประมาท และพ.ร.บ.คอมฯ ส่วนใครที่ชอบออกนอกเกมส์ อยากจะตักเตือนว่าอย่าทำ ถ้าทำก็จะมีจุดจบอีกเร็วๆนี้ หากทำอะไรจะต้องคิด พอพูดไปแล้วทำให้หลายองค์กรต้องเสียหาย เนื่องจากสาธารณชนรับทราบไปแล้ว และอยากให้เคสนี้เป็นอุทาหรณ์ให้กับจิตอาสาได้เป็นตัวอย่าง
Advertisement