ถอดบทเรียนชีวิตรถถังฝั่งธน "แอล โอรส" ลมหายใจบนเส้นทางสีดำสุดท้ายไม่พ้นคุก แต่ก็เป็นที่นี่เองนั่นแหละที่ทำให้เขาตกผลึกทางความคิด กลับตัวเป็นคนใหม่ มีชีวิตใหม่ ปิดตำนานจิ๊กโก๋ตัวตึงยุคโซเชียลแคม
ศรายุทธ ศรีกำเหนิด หรือที่ชาวเน็ตในยุคหนึ่งรู้จักเขาในนาม "แอล โอรส" ฉายา "รถถังฝั่งธน" แอล โอรส คือหนึ่งในอดีตแก๊งโอรสที่เคยโด่งดังจากการประกาศศักดาผ่านโลกโซเชียล แต่ก็อย่างที่ได้กล่าวไปในข้างต้นว่านั่นคือ "อดีต" แอล โอรส ในวันนี้ขอหันหลังให้กับทุกสิ่งผิดกฎหมาย และนำความผิดพลาดในอดีตมาเป็นบทเรียน
แอล โอรส ย้อนชีวิต ยอมรับตัวเองเริ่มออกนอกลู่นอกทางตั้งแต่อายุ 15-16 โดนไล่ออกจากโรงเรียนตั้งแต่ ม.2 พอได้ออกมาจากระบบการศึกษาก็เริ่มเข้าสู่สังคมเกเร ยังไม่ถึงกับดำนะ แต่เริ่มเกเรๆ แล้ว ก็สภาพแวดล้อมของผมก็จะมีประมาณนี้ พวกแก๊งโอรส 01 อยู่แล้ว ก็จะมีสังคมแบบนี้เยอะอยู่พอสมควร ทีนี้ก็เริ่มไม่เข้าบ้านแล้ว อยู่แต่บ้านเพื่อนจากนั้นก็เริ่มเข้าสู่เส้นทางสีดำ ก็คือ เริ่มขายยา
ครั้งแรกที่ติดคุกคือ คุกเด็ก คดีปล้น ตอนอายุ 15-16 ความรู้สึกคือตอนทำไม่กลัวแต่ตอนโดนจับกลัว ตอนอยู่หน้าสถานพินิจฯ กลัวเพราะว่าไม่เคยเดินทางไกล ขึ้นชื่อว่าคุกแล้วเราเด็กมันก็ต้องกลัว พ่อแม่ก็ทำอะไรไม่ได้ เขาก็ได้แต่เสียใจ แต่ตอนนั้นเรายังเด็กไม่มีความคิดที่มันมากพอ มันเป็นความคึกคะนอง อยากได้เงิน ซึ่งในตอนนั้นเราไม่สลดนะ ยังรู้สึกสนุกอยู่
ใช้ชีวิตอยู่ที่สถานพินิจฯ เป็นว่าเล่น จนสถานพินิจรับไม่ได้ต้องส่งตัวไปคุกผู้ใหญ่ ส่งตัวไปอยู่ วัยหนุ่มปทุมฯ (ทัณฑสถานวัยหนุ่มกลาง) เข้าไปวันแรกก็กลัว ไม่เคยเจอคนรอยสักเต็มตัว แต่กลัวได้ประมาณเดือนหนึ่ง เราก็เต็มตัวเหมือนกัน
ออกจากคุกอายุประมาณ 18 เริ่มคิดได้ประมาณหนึ่ง เริ่มยกมือท่วมหัวกูไม่เอาแล้วคุก เพราะเราก็เริ่มโตขึ้น แต่มันจะเป็นในแนว ขยายพื้นที่ เริ่มสร้างชื่อ ตีรันฟันแทง แถวบ้านก็ตีกันยับ
ชื่อของแอลโอรส รถถังฝั่งธน เป็นที่สนใจของชาวเน็ตจำนวนหนึ่งในยุคนั้น เพราะไม่บ่อยครั้งนักที่จะเกิดปรากฏการณ์ลักษณะนี้
แอล โอรส ยังคงเดินอยู่บนเส้นทางสีดำ เขายอมรับตอนนั้นก็ยังขายยาอยู่ แต่ไม่กระฉ่อนเท่าไหร่หากเทียบกับการ ปล้นยา แอลบอกว่าก็คิดว่าไม่น่าจะโดนจับเพราะเราปล้นคนทำผิดเหมือนกัน ก็โดนหมายหัว จะโดนเก็บก็มีบ้างแต่อย่างที่บอกเราใช้ชีวิตอย่างไม่กลัว มึงล่า กูก็ล่า ได้หมด โดนยิง 4-5 เม็ด ก็ไม่กลัว ยังคิดจะไปล่าอีก สมมุติโดนยิงวันนี้ อีก 7 วันแผลดีขึ้น กูก็ออกไปยิงมึงคืน แล้วก็มาโดนจับรอบนี้
ตอนที่โซเชียลแรงๆ ตอนนั้นผมอายุประมาณ 26 ตอนโดนจับที่เป็นข่าวล่าสุด ศาลฯ ตัดสินจำคุก 24 ปี ข้อหา อาวุธปืน บุกรุก กักขังหน่วงเหนี่ยว ทำร้ายร่างกาย แล้วก็เป็นรูปคดีเดียวกันอีกก็คือ อาวุธปืน บุกรุก กักขังหน่วงเหนี่ยว ทำร้ายร่างกายและก็ปล้น
24 ปี ผมถือว่าในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี เพราะมันคือทำให้ผมคิดได้ แต่กว่าจะคิดได้ ศาลฯ ตัดสินมา 24 ปี ผมก็เข้าไปชดใช้กรรมของผมแล้วกัน ผมก็เริ่มมีความคิด พฤติกรรมเริ่มเปลี่ยน เริ่มเย็นลง เริ่มเบาลง เริ่มไม่ค่อยวู่วามเหมือนคุกมันสอนผมด้วย
เราเริ่มทบทวน เริ่มอยู่กับตัวเอง เริ่มนั่งมองตัวเองในเมื่อก่อนว่าทำอะไรลงไปบ้าง สูญเสียอะไรไปบ้าง ผมสูญเสียครอบคัรว เงินทอง ข้าวของทุกอย่าง ชีวิตที่มันอิสระ ผมเสียทุกอย่าง ผมอยู่อย่างลำบาก ทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง อะไรที่เคยสร้างที่เคยมีมันเป็นแค่ความสุขชั่วคราวกับการที่เราทำสิ่งผิดๆ ความสุขแค่แป๊บเดียว ตอนนั้นเราใช้ชีวิตแบบฟู่ฟ่า หรูหรา สบาย แต่มันสุขแค่แป๊บเดียว เราจะงมงายอยู่กับตรงนั้น กินเหล้าเมายา ขาย-ซื้อ เรายังคิดไม่ได้ว่ามันคือความสุขแค่ชั่วคราว พอวันหนึ่งเราโดนจับ ตรงนั้นหายไปเลย เพราะว่าชีวิตตอนนั้นมันอยู่คุกครึ่งหนึ่งแล้ว แล้วก็อยู่กับความสบายครึ่งหนึ่ง ซึ่งมันแค่กะพริบตาทีเดียว ตำรวจเข้าบ้านก็หายไป
กลับตัวคิดได้เพราะความคิดของตัวเราเองแล้วก็ "แฟน" อยากขอบคุณเขาที่คอยเตือนสติทุกๆ อย่าง จากที่เราเคยเป็นคนใจร้อนกลายเป็นคนที่ใจเย็นมาก หลีกปัญหาทุกอย่าง คอยเตือน คอยชี้นำทาง
ผมขอให้มันเป็นอุทาหรณ์ให้ใครหลายๆ คนก็แล้วกัน ถ้าจะเลือกทางเดินขอให้คิดนิดหนึ่งว่าทำแล้วสุดท้ายมันจะเป็นยังไง เพราะส่วนมากประสบการณ์คนเรา บ้างทีนั่งมองคนอื่นเขาเอาก็ได้ ไม่ต้องเดินไปไขว่คว้า ถ้าไปไขว่คว้าแล้วมันบาดเจ็บก็นั่งดูเอาว่าคนนี้ประสบการณ์เขาเป็นยังไง บางอย่างไม่ต้องไปทำตาม บางอย่างไม่ต้องเดินไปทำ ดูเขาว่าชีวิตเขาทำแบบนี้แล้วผลมันได้แบบนี้ ชีวิตเป็นแบบนี้
Advertisement