สำนักงานสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. เผยแพร่บทความ เรื่อง "การบรรลุเป้าหมาย SDGs (การพัฒนาที่ยั่งยืน) ในการยุติความยากจนหลายมิติ" จากสถานการณ์ความยากจนหลายมิติกับเป้าหมาย SDGs สศช. จึงได้พัฒนาดัชนีความยากจนหลายมิติของประเทศไทย (MPI) เพื่อนำมาใช้ในการประเมินความก้าวหน้าของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในการยุติความยากจนทุกรูปแบบในทุกที่ โดยเป้าหมายคือ ลดสัดส่วน ชาย หญิง และเด็กทุกช่วงวัย ที่อยู่ภายใต้ความยากจนในทุกมิติลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่งภายในปี 2573
ทั้งนี้ ในปี 2566 ไทยได้บรรลุเป้าหมาย การลดสัดส่วนคนจนหลายมิติแล้ว โดยมีคนจนหลายมิติจานวน 6.13 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.76 จากประชากรทั้งหมด ลดลงจากปี 2558 ที่มีสัดส่วนคนจนหลายมิติร้อยละ 20.08 ทั้งนี้ พบว่า สัดส่วนคนจนหลายมิติในทุกช่วงวัยลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มวัยแรงงาน จากร้อยละ 16.06 เป็นร้อยละ 6.03 เช่นเดียวกับเพศชายและหญิงที่ลดลงจากร้อยละ 20.39 และ 19.80 เป็นร้อยละ 9.05 และ 8.50 ตามลำดับ
สัดส่วนคนจนหลายมิติในเกือบทุกภูมิภาคลดลงมากกว่าครึ่งหนึ่ง ยกเว้นภาคใต้ สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายเกิดจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ และนโยบายรัฐ อาทิ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ นอกจากนี้ หากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของตัวชี้วัด MPI จะพบตัวชี้วัดที่มี การพัฒนาที่ดีขึ้นมาก คือ การใช้อินเทอร์เน็ต การเข้าถึงน้ำดื่มที่สะอาด การกำจัดขยะที่เหมาะสม การเข้าถึงการศึกษา และการมีบำเหน็จบำนาญ โดยมีสาเหตุสำคัญมาจาก 3 ประการ คือ
1. การพัฒนาของโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภค
2. การพัฒนาระบบการศึกษา หลักสูตร และการอุดหนุนทรัพยากรการศึกษา
3. การสร้างและเพิ่มความครอบคลุมของหลักประกันทางสังคม
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ความยากจนหลายมิติของไทยยังมีประเด็นท้าทายหลายด้าน ดังนี้
1. แม้ว่าคนจนหลายมิติจะลดลงได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังมีคนจนอยู่อีกจำนวนมาก โดยเฉพาะคนจนอีกกว่าร้อยละ 18.8 ที่กำลังประสบปัญหาทั้งคุณภาพชีวิตและการเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีปัญหาซับซ้อน อาจหลุดพ้นความยากจนได้ยาก
2. คนไทยอีกกว่า 24 ล้านคน เสี่ยงต่อการเป็นคนจนหลายมิติ หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34.7 ของประชากรทั้งหมด โดยมีความขัดสนในด้านการมีบำเหน็จ/บำนาญมากที่สุด
3. การแก้ปัญหาความยากจนหลายมิติต้องให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งยังมีข้อจำกัดหลายประการ แม้ว่าจะมีบำเหน็จ/บำนาญรองรับยามเกษียณมากกว่าในอดีต แต่สัดส่วนคนจนหลายมิติที่ไม่มีบำเหน็จ/บำนาญอยู่ในอันดับสูง อีกทั้ง ข้อจำกัดการดึงแรงงานนอกระบบให้เข้าสู่ระบบ รวมถึงการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่อาจทำให้มีเสี่ยงต่อการไม่มีหลักประกันยามเกษียณ
4. การใช้นโยบายที่เหมือนกันในทุกพื้นที่ อาจไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนหลายมิติได้อย่างตรงจุด เนื่องจากปัญหามีความเชื่อมโยงกันไม่สามารถแก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่งเพียงอย่างเดียว
Advertisement