รู้จักปราสาทตาเมือนธม จ.สุรินทร์ โบราณสถานแห่งแดนอีสานใต้ ศิลปะขอมแบบบาปวน ริมชายแดนไทย-กัมพูชา ที่เพิ่งเกิดดรามาร้องเพลง-ห้าม นทท.ล้ำเขตแดน
ปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ที่บ้านหนองคันนา ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ อายุราวปลายพุทธศตวรรษที่ 16 ศิลปะขอมแบบบาปวน อยู่ริมชายแดนไทย-กัมพูชา ประกอบไปด้วยปราสาท 3 หลังที่ตั้งอยู่ใกล้เคียงกันคือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือนหรือปราสาทบายกรีม
ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่ม สร้างขึ้นเพื่อเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกายซึ่งนับถือพระศิวะเป็นเทพสูงสุด ก่อสร้างด้วยหินทรายและศิลาแลง 3 องค์ ประกอบด้วย ปราสาทประธานขนาดใหญ่ แผนผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุม ภายในห้องกลางปราสาทประดิษฐานศิวลึงค์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนพระศิวะ(พระอิศวร) เทพเจ้าสูงสุดในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ลักษณะของศิวลึงค์นี้ตกแต่งจากแท่งหินทรายธรรมชาติที่มีรูปร่างคล้ายศิวลึงค์ที่ตั้งอยู่บริเวณนี้มาแต่เดิม ภายหลังจึงสร้างปราสาทครอบ
สันนิษฐานว่านี้น่าจะเป็นศิวลึงค์ที่เกิดขึ้นเอง เรียกว่า สวายัมภูลึงค์ ซึ่งเป็นศิวลึงค์ที่สำคัญที่สุดของลัทธิไศวนิกาย ตามความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ถือว่าเกิดขึ้นจากพระประสงค์ของพระศิวะ ทำให้ลึงค์ประเภทนี้มีความศักดิ์สิทธิ์และได้รับการนับถือบูชาเป็นอย่างยิ่ง
ตัวปราสาทมีซุ้มประตู 4 ทิศ ประตูมุขด้านทิศใต้ต่อเข้ากับมุขหน้าหรือมณฑปยื่นออกมา โดยแบ่งเป็น 3 คูหา หลังคาทำด้วยหินทราย ปราสาทประธานมีการสลักลวดลายที่บริเวณฐาน โดยสลักเป็นรูปเทวรูปยืน นอกจากนี้ยังพบทับหลังหินทรายสลักภาพเทวดานั่งชันเข่าอยู่ภายในซุ้มบนแท่นเหนือหน้ากาลที่คายท่อนพวงมาลัย
ปราสาทบริวาร หรือ ปรางค์น้อยมี 2 องค์ สร้างด้วยหินทราย ตั้งอยู่ด้านหลังเยื้องไปทางซ้ายและขวาของปราสาทประธาน แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุม มีซุ้มประตูเข้าออกอยู่ด้านทิศใต้ ส่วนอีก 3 ด้านทำเป็นประตูหลอก
บรรณาลัย จำนวน 2 หลัง สร้างด้วยศิลาแลง หลังหนึ่งตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของปราสาทประธาน แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ส่วนอีกหลังหนึ่งตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของปราสาทประธาน แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส
ปราสาทประธาน ปรางค์บริวาร และบรรณาลัย มีระเบียงคดล้อมรอบ ซุ้มประตู(โคปุระ) สร้างด้วยหินทราย มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีช่องทางเดินภายในกว้างประมาณ 1.40 เมตร มีซุ้มประตูทั้ง 4 ด้าน โดยซุ้มประตูด้านทิศเหนือ ตะวันออก และตะวันตก มีลักษณะเหมือนกัน ส่วนซุ้มประตูด้านทิศใต้จะมีขนาดใหญ่ที่สุด เป็นซุ้มประตูหลัก โดยแบ่งออกเป็น 3 คูหา คูหากลางมีแผนผังเป็นรูปกากบาท มีหน้าต่างติดลูกกรงหินและบริเวณระเบียงคดนี้ได้พบศิลาจารึกอักษรขอมโบราณ ภาษาสันสกฤตและเขมร ซึ่งเป็นตัวอักษรที่ใช้ในราวปลายพุทธศตวรรษที่ 16 มีเนื้อหากล่าวสรรเสริญพระศิวะและกล่าวถึงนามของทาสและเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลรักษาเทวสถานแห่งนี้ (อ่านแปลโดยนางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์ กองหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร)
นอกจากนี้ยังพบท่าน้ำสร้างด้วยหินทรายนอกระเบียงคดด้านทิศใต้ ห่างออกไปประมาณ 10 เมตร และสระน้ำกรุด้วยศิลาแลงสอบลงไปถึงก้นสระ อยู่บริเวณนอกระเบียงคดทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
ปัจจุบันปราสาทตาเมือนธมได้รับการบูรณะจากกรมศิลปากรแล้ว และโบราณวัตถุบางส่วนจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์
เนื่องจากกลุ่มปราสาทนี้ตั้งอยู่ในเขตชายแดนประเทศไทย ทำให้การเข้าถึงตัวปราสาทเข้าได้เฉพาะฝั่งไทยเท่านั้น ส่วนฝั่งกัมพูชาอาจเข้าถึงได้ยากเพราะทางหลวงเก่าถูกป่าไม้กลืนกินหมดแล้ว ในช่วงกรณีพิพาทพรมแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การถือครองปราสาทพระวิหาร การปะทะริมชายแดนขยายไปถึงตาเมือน ทำให้ต้องหยุดเข้าชมวิหารชั่วคราว หลังจากนั้นแรงกดดันมีมากขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถเดินทางไปไกลกว่าทางเข้าหลักทางใต้เพียงไม่กี่เมตร โดยมีตำรวจตระเวนชายแดนประจำการตรงนี้
โดยก่อนหน้านี้เมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2568 เกิดเหตุการณ์กรณีชาวกัมพูชาขึ้นไปร้องเพลงบนปราสาทตาเมือนธม จนทำให้หลายคนไม่สบายใจ เรื่องนี้ พล.ต.สมภพ ภาระเวช ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ก.พ.ที่ผ่านมา ขณะผู้นำหน่วยทหารของกัมพูชานำคณะแม่บ้านและพลเรือนจำนวนหนึ่ง ขึ้นไปเยี่ยมชมปราสาทตาเมือนธม ก่อนจะพบว่ามีพลเรือนที่มากับคณะได้ร้องเพลงลักษณะเป็นเพลงปลุกใจ บริเวณตัวปราสาท ทำให้หน่วยทหารในพื้นที่ของไทยเข้าทักเตือนและให้หยุดการกระทำดังกล่าว เนื่องจากเป็นการสุ่มเสี่ยง
ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี กล่าวว่าปราสาทตาเมือนธมอยู่ในอธิปไตยของไทย คาบเกี่ยวกับพื้นที่ซึ่งยังไม่มีการปักปันเขตแดน ที่ผ่านมาฝ่ายไทยอนุโลมให้พลเรือนและทหารกัมพูชาขึ้นไปสักการะตัวปราสาทตาเมือนธมได้ตามเวลาที่กำหนด ตั้งแต่เวลา 09.00 - 15.00 น.ทุกวัน แต่ห้ามไม่ให้มีการกระทำที่แสดงออกเชิงสัญลักษณ์ สุ่มเสี่ยงให้เกิดความเข้าใจผิด
ทั้งนี้ ได้พูดคุยกับผู้บังคับบัญชาทหารในฝั่งกัมพูชา ตามช่องทางคณะกรรมการชายแดนไทย-กัมพูช (RBC) โดยได้ทำหนังสือประท้วงเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งทางการกัมพูชารับทราบและสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ก่อนเรื่องราวจะจบลงด้วยดี และทำความเข้าใจกับทหารกัมพูชาที่ปฏิบัติไม่เหมาะสม
อ้างอิงข้อมูลจาก พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สุรินทร์
Advertisement