รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังเดินหน้ากลยุทธ์ใหม่ในการกดดันประเทศพันธมิตรให้ลดหรือจำกัดความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน เพื่อแลกกับการผ่อนปรนหรือยกเว้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกกำหนดในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ความพยายามนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “ล้อมจีน” โดยใช้มาตรการภาษีเป็นเครื่องมือหลักเพื่อสกัดอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีน และตัดช่องทางที่จีนอาจใช้ในการหลบเลี่ยงผลกระทบจากภาษีสหรัฐผ่านตลาดอื่น
ภายใต้การเจรจาเพื่อขอยกเว้นภาษีจากประเทศต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีของทรัมป์ รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เตรียมข้อเสนอแลกเปลี่ยนโดยมีเงื่อนไขให้ประเทศเหล่านั้นดำเนินมาตรการที่ช่วยควบคุมอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีน เช่น การหลีกเลี่ยงการรับซื้อสินค้าจีนที่ล้นตลาด หรือการกำหนด “ภาษีทุติยภูมิ” กับสินค้าจากประเทศที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน
ตัวอย่างประเทศพันธมิตรที่สหรัฐฯ เริ่มเดินหน้ากดดันแล้ว คือ ‘เม็กซิโก’ ที่มีรายงานว่า สหรัฐจะขอให้เม็กซิโกเพิ่มภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีน เพื่อไม่ให้สินค้าจีนไหลผ่านเข้าไปยังตลาดอเมริกาได้ง่าย แม้กระทรวงเศรษฐกิจเม็กซิโกยังไม่ออกแถลงการณ์ใด ๆ ขณะที่ทำเนียบขาวก็ยังไม่ให้ความเห็นในเรื่องนี้
การผลักดันนโยบายภาษีในระดับโลกของสหรัฐครั้งนี้ นำโดยรัฐมนตรีคลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) ซึ่งรับบทบาทผู้นำการเจรจาหลังจากทรัมป์ประกาศพักการขึ้นภาษีเป็นเวลา 90 วันสำหรับประเทศคู่ค้าราว 60 ประเทศ ยกเว้นจีน
เบสเซนต์ ซึ่งเป็นอดีตผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ มองว่าหลายประเทศแม้จะเป็นพันธมิตรทางทหารที่ดีของสหรัฐ แต่ก็ยังไม่ใช่พันธมิตรทางเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตาม เขาแสดงความเชื่อมั่นว่า ข้อตกลงสามารถเกิดขึ้นได้ และหากรวมพลังกัน สหรัฐและพันธมิตรจะสามารถเพิ่มอำนาจเจรจากับจีนได้
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวถึงแนวทางนี้อย่างเปิดเผยในบทสัมภาษณ์กับ Fox News ภาคภาษาสเปน โดยเมื่อถูกถามว่าละตินอเมริกาควรเลือกระหว่างการเข้าร่วม Belt and Road ของจีน หรือการลงทุนจากสหรัฐหรือไม่ เขาตอบว่า “บางทีพวกเขาก็ควรจะต้องเลือก” และยังประกาศว่าจะเข้าร่วมการเจรจากับคณะผู้แทนจากญี่ปุ่นด้วยตนเอง
ปัจจุบัน แม้จีนจะยังไม่ปิดประตูการเจรจาการค้ากับสหรัฐอย่างถาวร แต่ก่อนที่จะนั่งโต๊ะพูดคุยอย่างเป็นทางการ จีนได้ยื่นข้อเรียกร้องสำคัญที่รัฐบาลทรัมป์ต้องปฏิบัติตาม โดยแหล่งข่าวซึ่งใกล้ชิดกับท่าทีของรัฐบาลปักกิ่งเปิดเผยว่า สิ่งที่จีนต้องการมากที่สุดคือ “ความเคารพ” ซึ่งแบ่งออกเป็นเงื่อนไขหลัก 4 ประการ คือ
จีนยังไม่ปิดกั้นให้ทรัมป์มีบทบาทโดยตรงในกระบวนการเจรจานี้ แต่มองว่าทางเลือกที่มีประสิทธิภาพกว่าคือ การให้เจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเจรจารายละเอียดเชิงลึกก่อน จากนั้นจึงนำไปสู่การประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐฯ และจีนในภายหลัง และหากไม่มีความเคารพและตัวแทนที่เหมาะสม การเจรจาย่อมไม่มีความหมาย
ด้านทำเนียบขาว แคโรไลน์ ลีวิตต์ โฆษกของทรัมป์ กล่าวว่า “ลูกบอลอยู่ในแดนของจีน จีนต้องการข้อตกลงกับเรา ไม่ใช่ในทางกลับกัน” โดยข้อความดังกล่าวเป็นคำสั่งโดยตรงที่ทรัมป์เป็นผู้เขียนเอง
ความพยายามจำกัดบทบาทของจีนยังขยายไปถึงประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถูกมองว่าทำหน้าที่เป็นฐานการผลิตต่อยอดของจีนในห่วงโซ่อุปทานโลก โดยประเทศอย่างเวียดนาม กัมพูชา มาเลเซีย และไทย ล้วนมีโรงงานที่ทำหน้าที่เป็นจุดประกอบขั้นสุดท้ายของสินค้าที่ใช้ชิ้นส่วนจากจีน เช่น แผงโซลาร์เซลล์
ปีเตอร์ นาวาร์โร (Peter Navarro) ที่ปรึกษาด้านการค้าของทรัมป์ ระบุว่า จีนใช้เวียดนามเป็นช่องทางหลบเลี่ยงภาษีผ่านกระบวนการ “เปลี่ยนเส้นทางสินค้า” (transshipment) พร้อมเรียกเวียดนามว่า “อาณานิคมของจีนคอมมิวนิสต์” ด้านเบสเซนต์กล่าวว่า การหลีกเลี่ยงการทุ่มตลาดเป็นเป้าหมายร่วมกันของทั้งสองฝ่าย เพราะหากตลาดหลักของจีนถูกตัดขาด สินค้าจีนก็จะหาทางเข้าสู่ประเทศที่สามแทน
ืที่มา: Bloomberg