Logo site Amarintv 34HD
Logo LiveSearch
Search
Logo Live
Logo site Amarintv 34HD
ช่องทางติดตาม AMARINTV
  • facebook AMARIN TV 34 HD
  • x AMARIN TV 34 HD
  • line AMARIN TV 34 HD
  • youtube AMARIN TV 34 HD
  • instagram AMARIN TV 34 HD
  • tiktok AMARIN TV 34 HD
  • RSS Feed AMARIN TV 34 HD
แสงชัย สุนทรวัฒน์ ทำไมชื่อนี้กลายเป็นชื่อรางวัลเกียรติยศของคนข่าวทีวี

แสงชัย สุนทรวัฒน์ ทำไมชื่อนี้กลายเป็นชื่อรางวัลเกียรติยศของคนข่าวทีวี

5 มี.ค. 68
15:42 น.
|
476
แชร์

5 มีนาคม วันนักข่าว หรือ วันสื่อสารมวลชนแห่งชาติ ชวนย้อนทำความรู้จัก "แสงชัย สุนทรวัฒน์" ทำไมชื่อนี้กลายเป็นชื่อรางวัลเกียรติยศของคนข่าววงการโทรทัศน์และวิทยุ

วันนักข่าว หรือ วันสื่อสารมวลชนแห่งชาติ ตรงกับวันที่ 5 มีนาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่มีการก่อตั้งสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2498 ต่อมาได้รวมตัวกับสมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กลายเป็น "สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย" และกำหนดให้วันที่ 5 มีนาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันก่อตั้งสมาคมฯ เป็นวันนักข่าว หรือ วันสื่อสารมวลชนแห่งชาติ จนถึงปัจจุบัน

ในแต่ละปีสื่อมวลชนหลายสำนักได้ทำหน้าที่โดยยึดมั่นในอุดมการณ์ จรรยาบรรณ นำเสนอข่าวสารที่ดีมีคุณภาพเเละเกิดประโยชน์ต่อสังคม จนทำให้เกิดการมอบรางวัลเพื่อเป็นกำลังใจให้กับสื่อมวลชนที่ได้ทำหน้าที่ในวิชาชีพอย่างดีเยี่ยม โดยหนึ่งในนั้นคือ รางวัล "แสงชัย สุนทรวัฒน์"

ประวัติ แสงชัย สุนทรวัฒน์ เขาคือใคร

นายแสงชัย สุนทรวัฒน์ เป็นบุคคลสำคัญในวงการสื่อสารมวลชนไทย มีบทบาทหลากหลายทั้งในฐานะนักกฎหมาย คอลัมนิสต์ และอดีตผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท) ก่อนจะถูกมือปืนลอบสังหารเมื่อวันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2539

นายแสงชัย เกิดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2486 ที่จังหวัดปราจีนบุรี ในครอบครัวพ่อค้า จนเมื่ออายุ 14 ปี ทางบ้านล้มละลายจึงย้ายตามพ่อแม่เข้ามาขายข้าวแกงในกรุงเทพฯ ก่อนจะกัดฟันหาเงินส่งเสียตัวเองเรียนจนจบคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังเรียนจบเขาทำงานสองที่ กลางวันอยู่บริษัทฝรั่งเศส ตอนกลางคืนทำงานในบาร์ตั้งแต่เป็นเด็กเสิร์ฟจนได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการ จากเด็กบ้านยากจนเขากลายเป็นคนมีฐานะ มีผู้หญิงมาติดพันมากมาย จนทางบ้านไม่สบายใจ เขาจึงหันหลังขอไปบวชที่วัดเทพศิรินทราวาสจนเกิดแสงสว่างทางปัญญาว่าชีวิตแบบนี้ไม่ใช่ทางที่ดี หลังจากสึกจึงตัดสินใจจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับน้องชายที่สหรัฐอเมริกาโดยมีเงินติดตัวไปเพียงคนละ 200 ดอลลาร์

เพลย์บอยกลับใจ ทหารและหมาพิการคือจุดเปลี่ยนของชีวิต

ด้วยความที่ลำบากตั้งแต่เด็กเขาจึงไม่กลัวที่จะต่อสู้ดิ้นรน แต่กลัวอายเพื่อนมากกว่าหากพบหน้ากันแล้วตนยังไม่ได้ดีแบบคนอื่น เขาทำงานสารพัด โดยยึดงานบาร์เทนเดอร์เลี้ยงชีวิตเป็นหลักในต่างแดน ด้วยความขยันและใฝ่ดีทำให้ผ่านไปแค่ 8-9 เดือนก็สามารถเก็บเงินลงเรียนปริญญาโททางกฎหมายที่มหาวิทยาลัยในเท็กซัสจนสำเร็จการศึกษา ก่อนจะปักหลักใช้ชีวิตที่นั่นนานถึง 16 ปี โดยตั้งปณิธานว่าหากไม่รวยจะไม่กลับมาทำงานที่เมืองไทยเด็ดขาด เพราะข้าราชการวุฒิปริญญาโทในเมืองไทยสมัยนั้นมีเงินเดือนแค่ 1,900 บาท

แต่แล้วความคิดนี้ก็เปลี่ยนไปเมื่อได้พบกับ พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ อดีตองคมนตรี ระหว่างแวะมาเยี่ยมบ้านที่เมืองไทย ก่อนจะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ซึ่งช่วงหนึ่งในการสนทนาเขาได้พูดกับ พล.อ.พิจิตร ว่า เขาคิดว่าทหารวันๆ ไม่ทำอะไร เอาแต่ยึดบ้านเมือง ท่านองคมนตรีจึงได้ชวนเขาขึ้นไปเขาค้อเพื่อไปดูการทำงานของพราน ซึ่งเมื่อไปถึงที่นั่นเขาได้พบจ่าทหารขาพิการ ตาบอดหนึ่งข้าง นอนอยู่กับหมาคู่ใจที่พิการเช่นกัน โดยเจ้าหมาเข้าไปช่วยนายจนตะปบกับระเบิดจนทำให้มันตาบอดสองข้าง ขาขาดไปหนึ่งข้าง ซึ่งเรื่องนี้ทำให้นายแสงชัยถึงกับน้ำตาร่วง เพราะแม้แต่หมายังช่วยรักษาแผ่นดินไทย แต่เขาซึ่งเป็นคนกลับยังไม่เคยทำอะไรให้ประเทศชาติ เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ เขาจึงโทรศัพท์หานางวัชรี ผู้เป็นภรรยาว่า ถึงเวลากลับบ้านแล้ว ขอให้เก็บของขายสมบัติที่มาทั้งหมดแล้วย้ายมาอยู่เมืองไทย

เดินสู่เส้นทางสื่อสารมวลชน ชวนคนไทย "ฟุดฟิดฟอไฟ"

หลังกลับมาเมืองไทย แสงชัยเปิดบริษัทกฎหมาย รับเป็นที่ปรึกษาให้ธุรกิจใหญ่หลายแห่ง ก่อนชีวิตจะพลิกผันมายังเส้นทางสายสื่อมวลชนเต็มตัว โดยตั้งแต่เขาอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาเขาเขียนบทความกีฬาส่งหนังสือพิมพ์ในไทยมาตลอด และด้วยความเป็นบาร์เทนเดอร์ทำให้เขาได้พบกับผู้คนหลากหลายชนชั้นและวงการตั้งแต่ชาวบ้านทั่วไป อาจารย์ นักเขียน ดารา ฯลฯ ทำให้เขามีความรู้ทั้งการเมือง กีฬา บันเทิง ไลฟ์สไตล์ เขาได้นำแนวคิดและเรื่องที่ได้เรียนรู้และรับฟังมาต่อยอด เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2525 จากคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ นำเสนอเรื่องเหตุบ้านการเมืองในสหรัฐ

และด้วยประสบการณ์ส่วนตัวในช่วงที่เขาได้พูดคุยกับฝรั่ง หลายครั้งที่เขาออกเสียงผิด ไม่เข้าใจสำนวน ทำให้อีกฝ่ายไม่เข้าใจ จากนั้นอีกสองปีต่อมาเขาจึงตั้งคอลัมน์ยอดฮิต "ฟุดฟิดฟอไฟ" สอนภาษาอังกฤษเรื่องสำนวนและการออกเสียงที่ถูกต้อง จนกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเขาที่หลายคนจำได้

หลังเป็นคอลัมนิสต์ทางหนังสือพิมพ์อยู่นาน แสงชัยจึงมีโอกาสก้าวสู่จอโทรทัศน์เป็นครั้งแรกจากการชักชวนของ นายชาติเชื้อ กรรณสูตร ผูู้บริหารช่อง 7 โดยรับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการข่าว เขาดึงคนเบื้องหลังมาอยู่หน้าจอ ทำข่าวให้เข้าถึงชาวบ้าน และพลิกการนำเสนอข่าวให้เป็นเชิงรุกมากขึ้น จนรายการข่าวช่อง 7 ผงาดขึ้นมาเป็นเบอร์ต้นๆ ของประเทศ เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ได้ทั้งเงินและรางวัล

แต่หลังจากทำงานที่นี่ได้แค่ 11 เดือน เขาก็ถูกทาบทามให้มาทำหน้าที่ผู้อำนวยการองค์การฟอกหนัง กอบกู้วิฤติภาวะใกล้ล้มละลาย เพราะองค์กรเป็นหนี้สูงถึง 227 ล้านบาท และขาดทุนปีละ 40 ล้านบาท เขาไม่ลังเลที่จะตอบรับข้อเสนอนี้เพราะมองเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะได้ช่วยประเทศชาติในฐานะคนไทยคนหนึ่ง เขาทำหน้าที่นานเกือบ 4 ปี ตัดช่องทางทุจริต ปรับโครงสร้างใหม่ให้ราชการมีความใกล้เคียงกับการเป็นเอกชนจนองค์การฟอกหนังกลับมามีกำไรอีกครั้ง

ก้าวเข้าสู่ "แดนสนธยา" พลิกฟื้นคืนแสงสว่างให้กับวงการวิทยุและโทรทัศน์

นายแสงชัยเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการ อสมท เมื่อปี พ.ศ. 2535 ซึ่งวันแรกที่มาทำงาน เขาถือกระเป๋าเข้ามาใบเดียวแล้วประกาศว่า “ผมจะนำ อสมท ออกจากแดนสนธยา เราเดินทางมาถึงรุ่งอรุณแล้ว” จากเดิมช่อง 9 อสมท เคยถูกล้อเลียนว่าเป็นช่องสำหรับฉายมิวสิควิดีโอจากค่ายเพลงต่างๆ เพราะในหนึ่งสัปดาห์มีรายการเพลงรวมกันมากกว่า 24 ชั่วโมง

นายแสงชัยทำการผ่าตัดใหญ่ อสมท ลดรายการเพลงจนเหลือไม่กี่ชั่วโมง เพิ่มสัดส่วนรายการข่าวและสารคดี เปลี่ยนแนวทางการทำงานใหม่ทั้งหมด โดยเฉพาะสำนักข่าวไทย ไฟเขียวให้ผู้สื่อข่าวในสังกัดลุยตีแผ่ได้ทุกเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อสังคมและประชาชนโดยไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลใดๆ ข่าวทุกข่าวต้องมีความเป็นอิสระ มีสาระ มีประโยชน์ และเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เขาขอให้พนักงานทุกคนตั้งใจทำงาน หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันเพราะ อสมท คือสมบัติของชาติ มาจากภาษีของประชาชน

"อาชีพของพวกเราไม่มีนายจ้าง เราไม่ได้ทำงานให้นายจ้าง เรามีแต่นายคือประชาชนนี่แหละที่เรารับใช้อยู่ ไม่มีประชาชนก็ไม่มีงานสื่อสารมวลชน ต้องเข้าใจว่านายที่แท้จริงของเราคือประชาชน"

นายแสงชัยมีชื่อเสียงในการยืนหยัดต่อสู้กับอิทธิพลมืดในวงการสื่อ ซึ่งรายได้หลักของ อสมท มาจากการปล่อยสัมปทานให้เอกชน ซึ่งมีการแทรกแซงจากกลุ่มการเมืองและผู้มีอิทธิพล เขาเข้าไปจัดการเหลือบไรที่หากินกับ อสมท รื้อระบบเอื้อผลประโยชน์ เส้นสาย การกินหัวคิว การติดสินบน โดยไม่เกรงกลัวต่ออิทธิพลใดๆ ครั้งหนึ่งมีอดีตนักการเมืองหญิงซึ่งเป็นเจ้าของคลื่นวิทยุ พยายามติดสินบนมอบทองคำหนัก 2 บาท เพราะหวังว่าเขาจะช่วยให้เธอได้ต่ออายุสัมปทาน นายแสงชัยไม่รับสินบนแถมยังนำไปพูดบนเวทีว่า "ไม่รู้เอาทองมาให้ผมทำไม ลูกเมียผมมีทองใส่หมดแล้ว ยังไม่มีก็แต่เพียงสุนัข 2 ตัวที่บ้าน ผมจะเอาไปให้มันใส่"

จากการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีวิสัยทัศน์ มุ่งมั่น ซื่อตรง ทำให้ อสมท มีรายได้และกำไรมหาศาล พ้นจากคำว่า "แดนสนธยา" แต่สิ่งเหล่านี้ทำให้ไปขัดผลประโยชน์กับกลุ่มอิทธิพลบางกลุ่มจนเขาถูกหมายหัวเอาชีวิต!

สั่งตาย "แสงชัย" กระสุนมณะดับแสงแห่งความหวังวงการสื่อไทย

การทำงานอย่างซื่อสัตย์เพราะหัวใจที่อยากตอบแทนชาติ ทำให้ไปขัดผลประโยชน์กับกลุ่มอิทธิพลบางกลุ่มจนเขาถูกหมายหัวเอาชีวิต จนกระทั่งวันที่ 11 เมษายน 2539 หลังจากนายแสงชัยและนางวัชรี หรือแนนซี่ ภรรยาออกจากร้านอาหารเวลาประมาณ 2 ทุ่ม แล้วมุ่งหน้ากลับบ้านโดยมีภรรยาเป็นผู้ขับรถเบนซ์ ส่วนนายแสงชัยนั่งด้านข้าง จังหวะที่รถชะลอความเร็วเพราะลูกระนาด ภรรยาก็ได้ยินผู้เป็นสามีพูดว่า "แนนซี่ พี่ถูกยิง"

เมื่อเธอเหลือบมองไปทางกระจกข้างด้านซ้ายก็เห็นรอยกระจกร้าว และคนร้ายพยายามจะยิงนางวัชรีด้วยเพื่อฆ่าปิดปาก แต่กระสุนขัดลำกล้อง คนร้ายจึงเร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์บิดหนีไป นางแนนซี่รีบนำตัวสามีไปที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะเพื่อช่วยชีวิต แต่นายแสงชัยถูกยิงเข้าที่หัวไหล่ทะลุชายโครงจนเสียเลือดมาก ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิต ความหวังของวงการโทรทัศน์และวิทยุไทยปิดฉากไปพร้อมลมหายใจของเขาในคืนนั้น

ปมสังหารสะเทือนขวัญ คลี่คลายด้วยถุงกระดาษที่ตกกลางถนน

การเสียชีวิตของนายแสงชัยสร้างความอาลัยให้กับวงการสื่อเป็นอย่างมาก และเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญประชาชน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ กรมตำรวจในขณะนั้นสั่งการให้ตำรวจฝีมือดีเข้ามาทำงาน โดยประเด็นหลักที่ทุกฝ่ายให้ความสำคัญคือการขัดผลประโยชน์ใน อสมท แต่ก็ยังคงมืดแปดด้านหาคำตอบไม่เจอ

จนกระทั่งเกิดเหตุคนร้ายลอบยิงเสี่ยเจ้าของกิจการเครื่องสุขภัณฑ์ที่หน้าหมู่บ้านสัมมากร ท้องที่ สน.บางชัน กรุงเทพมหานคร โดยคนร้ายใช้ปืนขนาด 9 มม.เหมือนกับที่สังหารนายแสงชัย โดยตำรวจพบถุงกระดาษใบหนึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุ ภายในมีกระดาษเขียนระบุเลขที่ห้องในอพาร์ตเมนต์ย่านรามคำแหง ตำรวจจึงรุดไปลากตัว นายกิตติพล อินทรปาน เจ้าของห้องมาสอบสวน ซึ่งต่อมาเขายอมรับสารภาพว่าก่อเหตุยิงเสี่ยเครื่องสุขภัณฑ์จริง ตำรวจจึงสงสัยว่านายกิตติพลอาจจะมีความเชื่อมโยงกับคดีนายแสงชัยเพราะใช้ปืนขนาด 9 มม.เหมือนกัน

ตำรวจสอบเค้นนายกิตติพลอย่างหนัก จนสุดท้ายสารภาพว่าเขาเป็นหนึ่งในทีมสังหารนายแสงชัย สุนทรวัฒน์ โดยมือปืนคือ นายนฤทุกข์ อุ่นตระกูล ดีกรีนักกีฬายิงปืนระดับเขต โดยมี นายสุนันท์ วงศ์คำหาญ (คนขี่จักรยานยนต์) นายกนกศักดิ์ อินทร์สมาน (คนชี้เป้า) นายชนะ คงหนุน (คนประสานงาน) ร่วมแก๊งด้วย ซึ่งผู้ต้องหาให้การว่า ผู้ว่าจ้างบอกว่าให้ไปยิงผู้อำนวยการโรงเรียนคนหนึ่งที่ปากไม่ดี แต่พอสังหารไปแล้วถึงได้รู้ว่าคือ นายแสงชัย ผอ.อสมท ก่อนจะซัดทอดว่าผู้ว่าจ้างคือ นายทวี พุทธจันทร์ ซึ่งเป็นลูกเขยของ นางอุบล บุญญชโลธร เจ้าแม่แห่งวงการวิทยุกระจายเสียงในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งพบว่ามีความขัดแย้งกับนายแสงชัย หลังเขายืนยันไม่ต่อสัมปทานวิทยุให้เด็ดขาด จึงเกิดความแค้นว่าจ้างให้มือปืนมาเก็บนายแสงชัย

ในที่สุด มือปืนกลุ่มนี้ถูกส่งตัวฟ้องศาลในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และพกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ ซึ่งศาลพิพากษาประหารชีวิต แต่จำเลยให้การรับสารภาพจึงลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุกตลอดชีวิต

ส่วนนางอุบล แม้การซัดทอดและพยานหลักฐานยังไม่สามารถมัดตัว ก่อนจะต่อสู้คดีจนศาลยกฟ้อง จนเวลาผ่านไป 3 ปี วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2542 นางอุบล บุญญชโลธร ถูกมือปืนบุกยิงด้วยปืนเอ็ม 16 จนร่างพรุนจบชีวิตหน้าบ้านพักในจังหวัดยโสธร รอดจากกฎหมายแต่ไม่สามารถรอดกฎแห่งกรรมไปได้

รางวัลแสงชัย สุนทรวัฒน์ รางวัลเกียรติยศของคนข่าววิทยุและโทรทัศน์

แม้นายแสงชัย สุนทรวัฒน์ จะจากโลกนี้ไป แต่สิ่งที่เหลือไว้คือ การยึดมั่นในอุดมการณ์อันแรงกล้าที่จะให้วงการสื่อของไทยทำงานด้วยความโปร่งใส ซื่อตรง และรักษาผลประโยชน์ของประชาชน ซึ่งการเสียชีวิตของเขาเป็นแรงผลักดันให้เกิดการตระหนักถึงความสำคัญของเสรีภาพสื่อในสังคมไทย

สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย จึงร่วมกับมูลนิธิแสงชัย สุนทรวัฒน์ จัดตั้ง รางวัลแสงชัย สุนทรวัฒน์ เพื่อเชิดชูเกียรติแก่นายแสงชัย สุนทรวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย และเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนสื่อมวลชนที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีจรรยาบรรณและสร้างสรรค์สังคม เป็นรางวัลที่มอบให้แก่ผลงานข่าวและสารคดีวิทยุโทรทัศน์ที่โดดเด่นประจำปี

รางวัลแสงชัย สุนทรวัฒน์ จึงเป็นรางวัลที่มีความสำคัญในวงการสื่อสารมวลชนไทย โดยเป็นเครื่องหมายของการยกย่องสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่น กล้าหาญ เเละยังเป็นกำลังใจให้กับสื่อมวลชนที่ได้ทำหน้าที่ในวิชาชีพอย่างดีเยี่ยม โดยยึดมั่นในอุดมการณ์จรรยาบรรณ นำเสนอข่าวสารที่ดีมีคุณภาพเเละเกิดประโยชน์ต่อสังคม

Advertisement

แชร์
แสงชัย สุนทรวัฒน์ ทำไมชื่อนี้กลายเป็นชื่อรางวัลเกียรติยศของคนข่าวทีวี