ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา ถึงประเด็นเรื่องนี้ โดยทางด้านของทนายเดชา เผยว่า เรื่องนี้จะต้องมีการตรวจสอบกันอีกครั้งว่าผิดกฎหมาย PDPA หรือไม่ และต้องพิสูจน์ว่า ตัวของผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ควบคุมข้อมูล ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วส่วนใหญ่กฎหมายในข้อนี้ฟ้องไปก็จะถูกยกฟ้องในชั้นศาล แต่ในข้อนี้ส่วนตัวมองว่าน่าจะเข้าข่ายหมิ่นประมาทมากกว่า เพราะตัวของนางสาวโมไปให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างๆ และมีการเอาข้อมูลในบันทึกข้อตกลง ที่ตกลงกันไว้แล้วว่าจะต้องรักษาความลับ เองจึงมองว่าน่าจะเป็นเรื่องหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา แต่นอกจากคนที่ให้สัมภาษณ์แล้วสื่อทุกช่องที่มีการออกอากาศไปนั้นก็จะมีความผิดด้วย
แต่ในส่วนของคดีแพ่งนั้น ถ้าหากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์จริง ยิ่งจริงเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีความผิดมากเท่านั้น โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัว และเรื่องเพศ เพราะตัวกฎหมายอาญา ข้อที่ 330 ได้บอกเอาไว้ว่าเรื่องพวกนี้ห้ามพิสูจน์ เพราะไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน แล้วถ้าเอาเรื่องแบบนี้มาพูดก็จะยิ่งผิด
นอกจากนั้นทีมข่าวได้สอบถามว่าแล้วถ้าในหนังสือสัญญามีการสลับคำ สัญญาฉบับนี้จะถือเป็นโมฆะหรือไม่ ทนายเดชา เผยว่า เรื่องนี้ไม่สามารถทำให้สัญญาเป็นโมฆะได้ เพราะการทำสัญญาต้องอ่านเนื้อความทั้งหมด ว่าบุคคลใดได้เงินไป และบุคคลใดมีหน้าที่ต้องลบคลิป เพราะมีหลักฐานชัดเจนว่าทางบริษัทไหทองคำ ได้มีการโอนเงินจำนวน 2 ล้านบาทให้กับนางสาวโม โดยแบ่งเป็นครั้งละ 1,000,000 1 ครั้ง และครั้งละ 500,000 2 ครั้ง ซึ่งสัญญาค่อนข้างชัดเจน ถึงแม้ว่าจะมีการพิมพ์ผิดระหว่างผู้รับสัญญาและผู้ให้สัญญา ก็ไม่สามารถทำให้สัญญาเสียหายได้ เพราะศาลจะพิจารณาในภาพรวม และเนื้อความในสัญญา ในเมื่อตัวของ นางสาวโม ไปตกลงทำสัญญาแล้ว สัญญาก็บังคับใช้ ถ้าหาก นางสาวโม ไปละเมิด หรือเปิดความลับ ก็จะต้องถูกฟ้องเรียกค่าเสียหาย จำนวน 20 ล้านบาท ตัวขิงนางสาวโม ก็ต้องจ่ายเงิน 20 ล้านบาท แต่ตัวของผู้ให้สัญญาก็สามารถเรียกเยอะกว่านั้นได้
นอกจากนั้นก็ยังโดนคดีอาญา ไปสัมภาษณ์สื่อกี่ช่องก็ต้องแยกเป็นช่องละกรรม ซึ่งโทษคือต้องจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 200,000 บาท
หลังจากนั้นทีมข่าวจึงได้สอบถามว่าการกระทำของ นางสาวโม เข้าข่ายรีดทรัพย์หรือไม่ ทางด้านของ ทนายเดชา พูดต่อว่า หากการกระทำของนางสาวโมมีการข่มขู่ แล้วเรียกเงิน ซึ่งถ้าหากทางคนที่โดนขู่ไม่ให้เงินก็จะแฉ แล้วถ้าหากคนที่โดนข่มขู่เกิดความหวาดกลัว แล้วให้เงินมานั้น ตัวของนางสาวโมก็จะเข้าข่ายรีดเอาทรัพย์ ข่มขู่จะปล่อยความลับในเรื่องความสัมพันธ์ฉันชู้สาว ซึ่งในเรื่องนี้ศาลฎีกาเคยตัดสินติดคุกมาแล้ว แบบไม่รอลงอาญา แต่ถ้าหากไม่มีเรื่องของการข่มขู่ก็จะไม่ถือว่าเป็นการรีดทรัพย์
แต่ในกรณีนี้มีการส่งต่อไปให้แม่ของนายบอส ก็ถือว่าเป็นการเผยแพร่เรื่องนี้ไปแล้ว ซึ่งกรณีนี้ก็จะถือว่าผิดกฎหมายในการนำเข้าข้อมูลลามกอนาจาร ในมุมมองตนเองถือว่าโดนคดีหนัก เพราะในข้อหานี้จำคุกสูงสุด 3 ปี แต่ถ้าหากตัวของนางสาวโมเองมีการส่งต่อไปให้ เพจต่างๆ เผยแพร่ ก็จะเข้าข่ายความผิดจำคุกสูงสุด 5 ปี แล้วถ้าหากใครเป็นคนส่งต่อบุคคลนั้นก็จะมีความผิดร่วมด้วย และส่วนตัวก็เชื่อว่าตัวของนายห้างประจักษ์ชัย น่าจะมีข้อมูลซึ่งเป็นพยานหลักฐานทั้งหมดเก็บเอาไว้อย่างแน่นอน
แต่ถ้าหากพิสูจน์ออกมาแล้วว่าตัวของนางสาวโมเอง ไม่ได้เป็นคนส่งข้อมูล หรือส่งคลิป ให้กับบุคคลอื่น ตัวของนางสาวโมก็จะไม่มีความผิดในเรื่องนี้ แต่ในกรณีนี้เจ้าตัวได้มีการไปให้สัมภาษณ์สื่อหลายช่อง ถือว่ามีความผิดแล้ว เพราะเรื่องส่วนตัว และเรื่องชู้สาว ไม่สามารถนำไปพูดในที่สาธารณะได้ และตัวของนางสาวโมเอง ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนายบอส เพราะอย่างนั้นก็จะไม่สามารถไปเรียกร้องเอาค่าชดเชยได้ เพราะไม่ผิดกฎหมาย
หลังจากนั้นทีมข่าวได้โทรศัพท์ไปสอบถามกับนางสาวโม ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่เจ้าตัวปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ พร้อมกับพูดว่าในตอนนี้ตนเองยังไม่สะดวก
Advertisement