ปิดฉากทรงผมนักเรียน หมดยุคครูกล้อนผม เปิดไทม์ไลน์การต่อสู้เพื่อสิทธิ เรื่องทรงผมของนักเรียนไทย ศธ.ย้ำให้ความสำคัญกับสิทธิผู้เรียน ปรับเปลี่ยนให้ตรงยุคปัจจุบัน
จากกรณีศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ฟร. 24/2563 เพิกถอน กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 ซึ่งเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนและการใช้เครื่องสำอางหรือสิ่งปลอมเพื่อการเสริมสวยที่ไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน โดยสถานศึกษาต้องให้สิทธิและเสรีภาพทรงผมผู้เรียนอย่างเสรี ภายใต้เงื่อนไขที่โรงเรียน กรรมการสถานศึกษา และผู้ปกครอง ออกกฎร่วมกัน โดยย้ำว่า ครูไม่มีสิทธิไปกล้อนผมนักเรียนเด็ดขาด แต่หากนักเรียนทำผิดกฎที่ตกลงร่วมกัน ขอให้ใช้วิธีตักเตือน ห้ามทำให้นักเรียนอับอาย
ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยเขียนบทความผ่านทางหนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันที่ 2 พฤศจิกายน 2550 มีเนื้อหาโดยสรุปว่า ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดเหาระบาดอย่างแพร่หลาย ทำให้ผู้คนนิยมตัดผมสั้นเพื่อให้ดูแลทำความสะอาดง่าย กระทรวงศึกษาธิการได้ออกกฎกระทรวง ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2515) แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2515 ในเรื่องเกี่ยวกับทรงผมที่ไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน กฎกระทรวงฉบับที่ 1 ระบุว่า
- นักเรียนชายไว้ผมยาว โดยไว้ผมข้างหน้าและกลางศีรษะยาวเกิน 5 เซนติเมตร และชายผมรอบศีรษะไม่ตัดเกรียนชิดผิวหนัง หรือไว้หนวดหรือเครา
- นักเรียนหญิงตัดผมหรือไว้ผมยาวเลยต้นคอ หากโรงเรียนหรือสถานศึกษาใดอนุญาตให้ไว้ยาวเกินกว่านั้นก็ให้รวบให้เรียบร้อย
ต่อมา มีการประกาศกฎกระทรวงฉบับที่ 2 โดยแก้ไขเป็น
- นักเรียนชายตัดผมหรือไว้ผมยาวจนด้านข้างและด้านหลังยาวเลยตีนผมหรือไว้หนวด ไว้เครา
- นักเรียนหญิงตัดผมหรือไว้ผมยาวเลยต้นคอ หากโรงเรียนหรือสถานศึกษาใดอนุญาตให้ไว้ยาวเกินกว่านั้นก็ให้รวบให้เรียบร้อย
โรงเรียนต่าง ๆ จึงอาจมีระเบียบในเรื่องทรงผมที่แตกต่างกันได้ในรายละเอียด แต่ส่วนใหญ่มักจะให้นักเรียนชายตัดผมสั้นเกรียน ส่วนนักเรียนหญิงให้ตัดผมสั้นในช่วงติ่งหูถึงปกเสื้อนักเรียน
ประเด็นเรื่องระเบียบทรงผมของนักเรียนไทยได้รับการถกเถียงมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เพราะสะท้อนถึงค่านิยมและวัฒนธรรมการศึกษาและมีผลกระทบภาพลักษณ์ของสถาบันการศึกษา มีความพยายามเรียกร้องให้ปรับเปลี่ยนมาโดยตลอด ซึ่งบางโรงเรียนมีการผ่อนปรนกฎระเบียบ แต่บางโรงเรียนก็ยังคงยึดตามกฎกระทรวงอย่างเคร่งครัด ทำให้นักเรียนและผู้ปกครองบางส่วนตั้งคำถามถึงเรื่องสิทธิเสรีภาพ ซึ่งก่อนที่ศาลปกครองจะมีคำสั่งนั้น ก็ผ่านการต่อสู้กันมาหลายปี โดยสามารถไล่ลำดับเหตุการณ์ได้ดังนี้
• ปี 2515
คณะปฏิวัติ ออกประกาศฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 ซึ่งเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนและการใช้เครื่องสำอางหรือสิ่งปลอมเพื่อการเสริมสวยที่ไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน
• ปี 2546
เกิดพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก ก็ยังถือปฏิบัติตามกฎกระทรวงฉบับที่ 1 และ 2 ออกตาม ปว 132 เพราะยังไม่มีการออกกฎกระทรวงฉบับใหม่
• ปี 2548
ออกกฎกระทรวงกำหนดความประพฤติของนักเรียนและนักศึกษา แต่ไม่ได้กำหนดเรื่องของทรงผม ยังคงถือปฏิบัติต่อมา
• ปี 2556
นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล และองค์กรต่อต้านทรงผมนักเรียนได้ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการยกเลิกกฎระเบียบควบคุมทรงผมและเครื่องแต่งกาย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน จึงแจ้งมายังกระทรวงศึกษาธิการว่า ควรจะมีระเบียบกลางเกี่ยวกับเรื่องทรงผมเพื่อเป็นแนวทาง เนื่องจากมีนักเรียนร้องเรียนว่าสถานศึกษาแต่ละแห่งปฏิบัติไม่เหมือนกัน
• ปี 2558
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ และกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท ได้เข้ายื่น 11 นโยบายปฏิรูปการศึกษากับกระทรวงศึกษาธิการ เสนอให้ยกเลิกหรือผ่อนปรนกฎทรงผมและเครื่องแบบ
• ปี 2563
กระทรวงศึกษาธิการเห็นชอบแก้ไขระเบียบทรงผมนักเรียน นักเรียนชายจะไว้ผมสั้นหรือยาวก็ได้ กรณีไว้ผมยาวด้านหลังต้องยาวไม่เลยตีนผม ด้านหน้าและกลางตามความเหมาะสม นักเรียนหญิงจะไว้ผมสั้นหรือยาวก็ได้ กรณีไว้ยาวให้เป็นไปตามความเหมาะสมและรวบให้เรียบร้อย หากฝ่าฝืนให้ลงโทษ 4 สถาน ได้แก่ ว่ากล่าวตักเตือน, ทำทัณฑ์บน, ตัดคะแนนความประพฤติ และทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่ไม่ให้กล้อนผม ตี ลงโทษทางร่างกาย หรือทำให้อับอาย
นอกจากนี้ ยังกำหนดให้สถานศึกษาโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสถานศึกษาหรือคณะกรรมการบริหารโรงเรียน วางระเบียบเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนที่มีความเฉพาะเจาะจงได้เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ การดำเนินการให้ยึดหลักความเหมาะสมในการพัฒนาบุคลิกภาพที่ดีของนักเรียน และการมีส่วนร่วมของนักเรียน สถานศึกษา ผู้ปกครอง และชุมชนท้องถิ่น
• ปี 2566
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการยกเลิกระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน ฉบับเดิมปี 2563 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 8 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป
• ปี 2567
กระทรวงศึกษาธิการ ระบุว่ากฎเรื่อง "ทรงผมนักเรียน" มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2566 แต่ยังเห็นข่าวการลงโทษเรื่องทรงผมนักเรียนอย่างไม่เหมาะสมอยู่ จึงขอให้ครูอย่าลงโทษทรงผมนักเรียนเกินกว่าเหตุ ขอให้ตักเตือนเชิงสร้างสรรค์แต่พองาม ไม่ก่อความอับอายต่อเด็ก จนเกิดเป็นปมในใจกระทบต่อความเชื่อมั่นในตัวเองจนส่งผลให้ไม่มีความสุขในการมาเรียน
• ปี 2568
ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ ฟร. 24/2563 เพิกถอน กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ซึ่งเป็นข้อกำหนดเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนที่ไม่เหมาะสมแก่สภาพของนักเรียน
ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ที่บัญญัติว่า การปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใด ให้คำนึงถึงประโยชน์ของเด็กเป็นสำคัญ ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก กฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) จึงเป็นกฎที่มีผลเป็นการจำกัดเสรีภาพในร่างกายของบุคคลผู้มีสถานะเป็นนักเรียน และไม่เหมาะสมกับการพัฒนาอัตลักษณ์และบุคลิกภาพของเด็กในแต่ละช่วงวัย กฎกระทรวงดังกล่าวจึงเป็นกฎที่ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ
พิพากษาให้เพิกถอนกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2518) ลงวันที่ 6 มกราคม 2518 ออกตามความในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 132 ลงวันที่ 22 เมษายน 2515 นับแต่วันที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา
Advertisement