ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโทษประหาร ผอ.กอล์ฟ ฆ่าชิงทอง ชี้เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมทารุณไร้มนุษยธรรม พร้อมสั่งเเก้ดอกเบี้ยค่าเสียหายให้เป็นไปตามกฎหมายใหม่ นับจากวันเริ่มใช้อีกด้วย
เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ อ.300/2564 ในส่วนคดีอาญาเเละคดีเเพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา ที่พนักงานอัยการคดีอาญา เเละบริษัทออโรร่า ดีไซน์ พร้อมด้วยผู้ร้องซึ่งเป็นผู้เสียหายอีก10 ราย เป็นโจทก์ร่วมฟ้อง นายประสิทธิชัย เขาแก้ว หรือ กอล์ฟ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนประถมแห่งหนึ่งใน จ.สิงห์บุรี เป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นฯ, พยายามฆ่าผู้อื่นฯ, ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนฯ และความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน กรณีก่อเหตุฆ่าชิงทรัพย์ร้านทองออโรร่า ในห้างสรรพสินค้าที่ จ.ลพบุรี เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2563
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ส.ค.63 โดยศาลเห็นว่า ประหารชีวิต และไม่มีเหตุบรรเทาโทษให้แก่จำเลย แม้จำเลยจะพยายามร้องขอ และอ้างว่ามีการชดเชยค่าเสียหายให้กับผู้ร้อง รวมถึงมีคุณงามความดีและให้การรับสารภาพนั้น ศาลเห็นว่า การรับสารภาพของจำเลยเป็นการจำนนต่อหลักฐาน ที่พนักงานสืบสวนสอบสวน ได้ทำการสืบหามาประกอบในสำนวน คำสารภาพจึงไม่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ต่อมาจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ขอลดโทษ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการที่จำเลยรับสารภาพเป็นเพราะเกิดจากจำนนต่อหลักฐาน การที่จำเลยชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและรับอันตรายสาหัสฆ่าผู้อื่นเพื่อตระเตรียมการหรือเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่นฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิด แต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่นและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ลักษณะของการกระทำความผิดจึงเป็นไปโดยอุกอาจไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง เป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมทารุณไร้มนุษยธรรมก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง แม้จำเลยชดใช้ความเสียหายเพื่อบรรเทาผลร้ายสำนึกผิดหรือมีคุณความดีดังที่อุทธรณ์ก็ไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะสมควรใช้ดุลพินิจลดโทษให้แก่จำเลยได้
ที่ศาลชั้นต้นให้ลงโทษประหารชีวิตจำเลยโดยไม่ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ย่อมเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้วไม่มีเหตุที่ศาลอุทธรณ์จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
นอกจากนี้ ศาลอุทธรณ์ได้แก้ไขการคิดดอกเบี้ยผิดนัดของค่าสินไหมทดแทนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ถึงกำหนดเวลาชำระตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดดังกล่าวใช้บังคับคือวันที่ 11 เม.ย.2564 เป็นต้นไป พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยชำระดอกเบี้ยของค่าสินไหมทดแทนในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปีจนถึงวันที่ 10 เม.ย.64 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 11 เม.ย.64 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยจะชำระค่าสินไหมทดแทนเสร็จแก่ผู้ร้องทั้งสิบ
Advertisement