ยุคนี้ปริญญาตรีไม่ได้การันตีความสำเร็จในชีวิตอีกต่อไป! ค่าเทอมที่พุ่งสูงขึ้นทุกปี แต่โอกาสในการได้งานกลับลดลง แถมเงินเดือนที่ได้ยังไม่คุ้มกับค่าเทอมที่ลงทุนไป แล้วแบบนี้...เรียนไปเพื่ออะไร สำนักงานสถิติแห่งชาติ เผย กลุ่มบัณฑิตจบใหม่ที่ยังคงเผชิญกับอัตราการว่างงานสูงถึง 1.67% ซึ่งสะท้อนถึงความไม่สมดุลระหว่างทักษะของบัณฑิตกับความต้องการของตลาดแรงงาน นอกจากนี้ สาเหตุหลักของการว่างงานยังคงเป็นการลาออกด้วยความสมัครใจ ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซ่อนอยู่ เช่น สภาพการทำงานที่ไม่เอื้ออำนวย หรือโอกาสก้าวหน้าที่จำกัด
ดร.ปิยนุช วุฒิสอน ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) รายงานสถานการณ์ตลาดแรงงานไทยไตรมาสแรกปี 2567 พบสัญญาณเชิงบวก อัตราการว่างงานลดลงเหลือเพียง 1% คิดเป็นจำนวนผู้ว่างงานประมาณ 4.1 แสนคน ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
สำหรับปัญหาการว่างงานระยะยาวหรือผู้ที่ว่างงานมากกว่าที่เกิน 1 ปีขึ้นไป ก็มีสถานการณ์ที่ดีขึ้น เวลานี้ลดลง 4.9% โดยมีจำนวนผู้ว่างงานระยะยาวประมาณ 7.9 หมื่นคนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในรายละเอียดพบว่า กลุ่มบัณฑิตจบการศึกษาระดับปริญญาตรีมีอัตราการว่างงานสูงที่สุดถึง 1.67% ซึ่งสะท้อนถึงความไม่สมดุลระหว่างทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการกับทักษะที่บัณฑิตมีอยู่ ตัวอย่างเช่น ตลาดอาจมีความต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี หรือผู้มีความสามารถด้านภาษาต่างประเทศ ในขณะที่บัณฑิตส่วนใหญ่อาจสำเร็จการศึกษาในสาขาที่ล้นตลาด
อัตราการว่างงาน (%)
ระดับการศึกษา |
อัตราการว่างงาน (%)
|
อุดมศึกษา | 1.67 |
มัธยมปลาย | 1.28 |
มัธยมต้น | 1.12 |
ประถมศึกษา | 0.58 |
การศึกษาอื่นๆ | 0.47 |
ไม่มีการศึกษา | 0.32 |
ต่ำกว่าระดับประถม | 0.13 |
ไม่ทราบระดับการศึกษา | 0.04 |
ปัญหาการว่างงานในกลุ่มบัณฑิตจบใหม่เป็นประเด็นที่ซับซ้อนและมีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลกระทบ ทั้งในด้านทักษะที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด และปัญหาเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงานเอง โดยวิเคราะห์และแยกเป็นประเด็นได้ดังนี้
ปัญหาทักษะไม่ตรงกับความต้องการตลาด
ปัญหาเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงาน
ปัญหาการว่างงานในกลุ่มบัณฑิตจบใหม่เป็นผลมาจากทั้งปัจจัยด้านทักษะที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด และปัญหาเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงาน การแก้ไขปัญหานี้จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคการศึกษา และภาคเอกชน
นอกจากนี้ สาเหตุหลักของการว่างงานยังคงเป็นการลาออกจากงานด้วยตนเอง คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 59.25% รองลงมาคือ เลิก/หยุด/ปิดกิจการ 16.16 % หมดสัญญาจ้างงาน 13.15 % ถูกให้ออก/ไล่ออก/ปลดออก 5.47 % และอื่น ๆ 4.71 % ซึ่งอาจสะท้อนถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในตลาดแรงงาน เช่น สภาพการทำงานที่ไม่เอื้ออำนวย ค่าตอบแทนที่ไม่เป็นธรรม หรือโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานที่จำกัด
เหตุผลที่ออกจากงาน หรือหยุดทำงาน | สัดส่วน (%) |
ลาออก | 59.25 |
เลิก/หยุด/ปิดกิจการ | 16.16 |
หมดสัญญาจ้างงาน | 13.15 |
ถูกให้ออก/ไล่ออก/ปลดออก | 5.47 |
อื่นๆ | 4.71 |
ภาพรวมทรงตัว แต่ภัยแล้งและปัญหาเชิงโครงสร้างยังน่ากังวล สถานการณ์ตลาดแรงงานไทยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 มีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีประชากรวัยแรงงานราว 59.1 ล้านคน กำลังแรงงาน 40.2 ล้านคน และมีผู้มีงานทำทั้งสิ้น 39.6 ล้านคน แม้ตัวเลขเหล่านี้จะค่อนข้างคงที่ แบ่งเป็น
แต่ก็มีประเด็นที่น่ากังวลซ่อนอยู่ ภัยแล้งที่รุนแรงส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรกรรมอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ผลผลิตและการจ้างงานลดลง เกษตรกรจำนวนมากต้องเผชิญกับความยากลำบากในการทำมาหากิน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังไตรมาสต่อไป
นอกจากภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานในภาคเกษตรกรรมแล้ว การเพิ่มขึ้นของผู้เสมือนว่างงานยังสะท้อนให้เห็นถึงความไม่มั่นคงและความเปราะบางของตลาดแรงงานไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้มีงานทำต่ำกว่าระดับ ซึ่งอาจต้องเผชิญกับค่าตอบแทนที่ไม่เป็นธรรมและสภาพการทำงานที่ไม่เอื้ออำนวย
แม้ภาพรวมตลาดแรงงานไทยจะยังคงทรงตัว แต่ปัญหาภัยแล้งและปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังคงอยู่ อาจเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของแรงงานไทยในระยะยาว
สำนักงานสถิติแห่งชาติจะยังคงติดตามสถานการณ์ตลาดแรงงานอย่างใกล้ชิด และรายงานข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อทุกภาคส่วน เพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาและส่งเสริมการจ้างงานที่ยั่งยืนต่อไป
ที่มา สำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) และ FB สำนักงานสถิติแห่งชาติ