เมื่อปลายปีที่แล้ว Samsung ผู้นำด้านการผลิตชิปความจำของโลกได้ประกาศซื้อหุ้นคืนเป็นมูลค่า 234,000 ล้านบาท
แต่มาวันนี้ Samsung กลับออกมาบอกว่าจะยกเลิกการซื้อหุ้นคืนส่วนหนึ่งออกไปเป็นมูลค่า 70,000 ล้านบาท
คำถามคือ แล้วทำไม Samsung ถึงกลับรถแล้วเลิกซื้อหุ้นคืน ?
สาเหตุสำคัญก็หนีไม่พ้น ผลประกอบการของบริษัทที่ดีขึ้นกว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว
กำไรจากการดำเนินงานของ Samsung
- ปี 2023 154,000 ล้านบาท
- ปี 2024 764,000 ล้านบาท
คำถามต่อมาก็คือ แล้วเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกับ Samsung ? ลองมาดูกัน
รู้ไหมว่า Samsung มีกำไรเกินครึ่งมาจากธุรกิจผลิตชิป ทั้งที่บริษัทมีรายได้หลักมาจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเช่น สมาร์ตโฟน
สัดส่วนรายได้ตามธุรกิจ (ปี 2022)
- สมาร์ตโฟน และอื่น ๆ 42%
- ชิปหน่วยความจำ 17%
- จอแสดงผล 12%
- ทีวี จอภาพ และอื่น ๆ 12%
- รายได้อื่น 17%
กำไรดำเนินงานของ Samsung (ปี 2022)
- ธุรกิจชิป 589,000 ล้านบาท (สัดส่วน 54.9%)
- ธุรกิจสมาร์ตโฟน และอื่น ๆ 315,000 ล้านบาท (สัดส่วน 29.4%)
จะเห็นได้ว่า ธุรกิจชิปของ Samsung แบกกำไรเกินครึ่งของทั้งบริษัทเอาไว้เลยทีเดียว
พอปีถัดมา ธุรกิจชิปของบริษัทพลิกจากกำไรเป็นขาดทุน จากยอดคำสั่งซื้อที่ลดลง จากประสิทธิภาพการผลิต และ เทคโนโลยีชิป ที่ตามหลังคู่แข่ง
ปี 2023
- ธุรกิจชิป ขาดทุน 366,000 ล้านบาท
- ธุรกิจสมาร์ตโฟน และอื่น ๆ มีกำไร 356,000 ล้านบาท
นักลงทุนก็เลยเทขายหุ้นกันชุดใหญ่ จนมูลค่าบริษัทหายไป 6,000,000 ล้านบาท -43% ในเวลาไม่ถึงครึ่งปี..
ทำให้ Samsung ต้องประกาศแผนซื้อหุ้นคืนออกมาตอนปลายปีที่แล้ว ซึ่งมีมูลค่าคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2.6% ของมูลค่าบริษัททั้งหมด
สรุปก็คือ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ธุรกิจชิปของ Samsung ที่เป็นตัวทำกำไรของบริษัทสะดุด นักลงทุนเลยเทขายหุ้น
บริษัทก็เลยต้องประกาศแผนซื้อหุ้นคืนออกมา แต่พอผลประกอบการของบริษัทดีขึ้น Samsung ก็เลยยกเลิกแผนการซื้อหุ้นคืนออกไป
แต่สุดท้ายนี้ก็ต้องบอกก่อนว่า Samsung ไม่ได้ยกเลิกแผนการซื้อหุ้นคืนออกไปทั้งหมด
โดยในเดือนกุมภาพันธ์ ถึง เดือนพฤษภาคม ปีนี้ Samsung จะยังเดินหน้าซื้อหุ้นคืนอีก 70,000 ล้านบาท
ซึ่งกลับมาดูที่ราคาหุ้น Samsung เช้านี้ ก็บวกขึ้นมา +1.8% สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนยังให้น้ำหนักกับผลประกอบการมากกว่าแผนการซื้อหุ้นคืนนั่นเอง
ที่มา: news.samsung.com, reuters.com, samsung.com, รายงานประจำปีของบริษัท, สไลด์นำเสนอประจำไตรมาส 4 ปี 2024 ของบริษัท