ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ชี้ชัด นโยบายการค้าของสหรัฐฯ ไม่ได้กระทบแค่บริษัทยักษ์ใหญ่ แต่แรงสั่นสะเทือนกำลังลามถึง SMEs ไทย ที่ส่อมีรายได้และกำไรลดลงจากการหดตัวของกำลังซื้อในประเทศ แต่ยืนยันรัฐบาลพร้อมรับมือ ยังมีทั้งกระสุนการคลังและเครื่องมือทางการเงินในมือ พร้อมเดินหน้ารับมือทุกแรงกระแทก เพื่อพยุงเศรษฐกิจและพา SMEs ไทยฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้
วันนี้ (26 เมษายน 2568) ในงาน SPOTLIGHT FORUM “SME Navigator 2025 ชี้ทางรอด นำทางรุ่งธุรกิจไทย” นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "SME ไทยฝ่าวิกฤตสู่อนาคตที่มั่นคง" โดยชี้ว่า โลกกำลังเข้าสู่ยุคที่สงครามการค้าสั่นคลอนโครงสร้างเศรษฐกิจโลกอย่างรุนแรง โดยเฉพาะนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบตรงมายังเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะในภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มแผ่วลงจากกำลังซื้อทั่วโลกที่อ่อนตัว
อย่างไรก็ตาม แม้ผู้ส่งออกและผู้ผลิตรายใหญ่จะเป็นกลุ่มแรกที่รับแรงปะทะ ดร.เผ่าภูมิเตือนว่า ผู้ประกอบการ SMEs ไทยก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ เพราะเมื่อการส่งออกชะลอลง การลงทุนเริ่มลด การจ้างงานสะดุด เศรษฐกิจในประเทศจะอ่อนแรงตาม และสุดท้ายกำลังซื้อของประชาชนจะหดตัว กระทบย้อนกลับสู่ภาคธุรกิจในประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ ดร.เผ่าภูมิยังระบุว่า ความไม่แน่นอนที่ปกคลุมเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้า ได้กดดันให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศเข้าสู่โหมด "รอดูท่าที" (Wait and See) ทำให้เม็ดเงินลงทุนใหม่ ๆ ไหลเข้าสู่ระบบลดน้อยลง เมื่อการลงทุนซบเซา โอกาสในการสร้างงานก็ลดลงตาม และสุดท้ายกำลังซื้อในประเทศจะยิ่งหดตัวลงอีก
ด้วยเหตุนี้ ดร.เผ่าภูมิจึงเน้นย้ำว่า SMEs ไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัว เปิดมุมมองให้กว้างกว่าเดิม ไม่จำกัดอยู่แค่ตลาดในประเทศ แต่ต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงรอบด้าน เพื่อรักษาความแข็งแกร่งของธุรกิจและก้าวข้ามช่วงเวลาแห่งความท้าทายนี้ให้ได้
เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ ภาครัฐได้มีโอกาสร่วมประชุมหารือกับเจ้าหน้าที่จากสถาบันการเงินระดับโลกอย่างธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกลุ่มอาเซียน ที่กรุงวอชิงตันในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้ข้อสรุปร่วมกันถึง 4 แนวทางสำคัญสำหรับภูมิภาคอาเซียน ได้แก่
ในระดับประเทศ ดร. เผ่าภูมิระบุว่า สถานะทางการคลังของไทยยังอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยอยู่ที่ 64% และเพียง 58% ของ GDP ตามนิยามของ IMF ดังนั้นยังไม่อยู่ในระดับที่น่ากังวลเท่าหนี้ครัวเรือน และภาคการคลังยังมีช่องว่างและกระสุนในการดำเนินนโยบายแน่นอน
ในด้านการคลัง ดร. เผ่าภูมิ เปิดเผยว่า ปัจจุบัน รัฐบาลกันงบประมาณไว้กว่า 150,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศ และลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่ประเทศไทยขาดแคลนมานาน เพราะโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เหล่านี้เกี่ยวข้องกับซัพพลายเชนขนาดใหญ่ที่ลงไปถึง SMEs ซึ่งจะเป็นตัวช่วยในการสร้างการจ้างงานและขยายฐานเศรษฐกิจในระยะยาว ทำให้เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และรัฐบาลกำลังพิจารณาดูว่าจะใช้งบประมาณนี้กระตุ้นเศรษฐกิจภายในอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ขณะเดียวกันในด้านการเงิน ดร.เผ่าภูมิเน้นว่า รัฐบาลยังมีช่องว่างและกระสุนการเงินที่พร้อมใช้อย่าง "ถูกจังหวะและได้ผล" (Timely and Effective) โดยปัจจุบันรัฐบาลให้ความสำคัญสูงสุดกับการเติมสภาพคล่องให้ SMEs ซึ่งกำลังประสบปัญหาในการเข้าถึงแหล่งทุนในการขยายธุรกิจหรือพยุงธุรกิจในช่วงวิกฤต โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ที่เป็นช่วง "Low Season" ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ
โดยมาตรการที่รัฐบาลเตรียมดำเนินการ ได้แก่
ในด้านนโยบายการปล่อยสินเชื่อ ดร. เผ่าภูมิชี้ว่ามาตรฐาน Responsible Lending แม้จะเหมาะสมในสภาวะเศรษฐกิจปกติ แต่ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก จำเป็นต้องมีการผ่อนปรน เพื่อเปิดโอกาสให้ธนาคารพาณิชย์สามารถปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบได้มากขึ้น เป็นการช่วยพยุงทั้งภาคเอสเอ็มอีและประชาชนในวงกว้าง
พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังได้วางแผนสนับสนุนเอสเอ็มอีให้ขยายตัวไปในทิศทางที่ตรงกับจุดยุทธศาสตร์มากยิ่งขึ้น เช่นการสนับสนุนเอสเอ็มอีที่ต้องการขยายตลาดใหม่ ผ่านการให้สินเชื่อเงื่อนไขพิเศษจาก EXIM Bank เพื่อกระตุ้นให้เอสเอ็มอีส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ๆ นำสินค้าไปโชว์ในประเทศใหม่ๆ และสนับสนุนการลงทุนในสหรัฐฯ เพื่อลดการเกินดุลการค้าระหว่างประเทศ
ท้ายที่สุด ดร. เผ่าภูมิย้ำว่า แม้ประเทศไทยต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจที่มั่นคง และเครื่องมือทางการคลังและการเงินที่พร้อมใช้งาน รัฐบาลเชื่อมั่นว่าจะสามารถใช้ทุกโอกาสและช่องว่างที่มีอยู่เพื่อสนับสนุนภาคเอสเอ็มอี และผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าฝ่าวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างมั่นคง