อินเดียและสหรัฐฯ กำลังเดินหน้าเจรจาข้อตกลงการค้าทวิภาคีชุดใหม่ซึ่งครอบคลุมหัวข้อสำคัญ 19 หมวดหมู่ ตั้งแต่สินค้าเกษตร พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การจัดเก็บข้อมูล ไปจนถึงแร่ธาตุสำคัญ โดยกรอบข้อตกลงเบื้องต้นนี้ถูกวางไว้เพื่อรองรับการเจรจาที่ลึกขึ้นในอนาคต และถูกมองว่าเป็นความพยายามของอินเดียที่จะหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นจากนโยบายการค้าของรัฐบาลทรัมป์
กรอบการเจรจาถูกประกาศหลังจากรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ เจ.ดี. แวนซ์ เดินทางเยือนกรุงนิวเดลีและเข้าพบนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี เมื่อวันที่ 21 เมษายน โดยทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกันใน “ข้อกำหนดเบื้องต้น” สำหรับการเจรจา ซึ่งครอบคลุมการค้าสินค้าและบริการ รวมถึง “บท” หรือหัวข้อย่อยที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎถิ่นกำเนิดสินค้า และมาตรการต่อต้านคอร์รัปชัน
อินเดียหวังว่าข้อตกลงนี้จะนำไปสู่การยกเว้นจากมาตรการภาษีตอบโต้ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศไว้ โดยกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าอินเดียสูงถึง 26% ซึ่งขณะนี้อยู่ในสถานะ “พักการบังคับใช้” จนถึงเดือนกรกฎาคม
ก่อนหน้านี้ ผู้นำของทั้งสองประเทศได้ตกลงกันตั้งแต่การพบปะเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ทำเนียบขาวว่า จะดำเนินการให้ “ระยะแรก” ของข้อตกลงเสร็จสิ้นภายในฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ แม้ยังไม่มีการเปิดเผยผลลัพธ์ที่คาดว่าจะได้ในเฟสดังกล่าว หรือรายละเอียดของเนื้อหาที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจด้านภาษีนำเข้า
อินเดียเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่เริ่มกระบวนการเจรจากับสหรัฐฯ ภายหลังการเยือนของโมดี โดยนักลงทุนทั่วโลกต่างจับตาการเจรจานี้อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการค้าของรัฐบาลทรัมป์ในรอบสอง
จากการรายงานของ Bloomberg ในบรรดาหัวข้อ 19 หมวดหมู่ที่อยู่ในการเจรจา มีหลายประเด็นที่ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด ได้แก่
สหรัฐฯ ต้องการให้อินเดียเปิดตลาดสินค้าเกษตรมากขึ้น โดยลดภาษีนำเข้าและผ่อนคลายข้อจำกัดทางการค้า ซึ่งเป็นจุดที่อินเดียมักต่อต้านอย่างหนัก โดยเฉพาะจากกลุ่มเกษตรกรที่เป็นฐานเสียงทางการเมืองสำคัญ อีกทั้ง อินเดียยังมีข้อจำกัดต่อการนำเข้า “พืชดัดแปลงพันธุกรรม” เช่น ข้าวโพดและถั่วเหลือง ซึ่งเป็นพืชส่งออกหลักของเกษตรกรสหรัฐฯ
บริษัทสหรัฐฯ อย่าง Amazon และ Flipkart (ซึ่งควบคุมโดย Walmart) ต้องการเข้าถึงตลาดค้าปลีกอินเดียมากขึ้น พร้อมเรียกร้องให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรมกับบริษัทท้องถิ่นอย่าง Reliance Industries ทว่า ภาคค้าปลีกของอินเดียยังคงถูกครอบงำโดยร้านค้าแม่ค้า-พ่อค้ารายย่อยนับสิบล้านราย ซึ่งนักการเมืองอินเดียมักปกป้องเพื่อรักษาฐานเสียง
บริษัทเทคโนโลยีสหรัฐฯ เช่น Google, Amazon และ Meta มีความกังวลต่อกฎหมายอินเดียที่กำหนดให้บริษัทต่างชาติ “ต้องจัดเก็บข้อมูลภายในประเทศ” (Data Localization) ซึ่งมองว่าเพิ่มต้นทุนการดำเนินงานและเป็นข้อจำกัดต่อบริการดิจิทัล โดยประเด็นนี้จะถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นหนึ่งในข้อถกเถียงหลักในการเจรจา
แร่ธาตุสำคัญ เช่น ลิเทียม โคบอลต์ และนิกเกิล ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและเทคโนโลยีขั้นสูง กำลังกลายเป็นประเด็นยุทธศาสตร์ในสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน สหรัฐฯ คาดหวังว่าอินเดียจะเข้ามามีบทบาทเพิ่มในห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุใหม่ของสหรัฐฯ ที่ลดการพึ่งพาจีน
ประเด็นเกี่ยวกับมาตรฐานสินค้า ข้อกำหนดด้านเทคนิค และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับกฎระเบียบที่ดี (Good Regulatory Practices) จะถูกหยิบยกมาพิจารณาเพื่อให้เกิดความชัดเจน โปร่งใส และเอื้อต่อการลงทุนของบริษัทเอกชนทั้งสองฝ่าย
รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สก็อตต์ เบสเซนต์ ระบุในสัปดาห์นี้ว่า สหรัฐฯ-อินเดีย “ใกล้มาก” แล้วที่จะบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างกัน และอาจทำให้อินเดียกลายเป็นประเทศเอเชียรายล่าสุดที่บรรลุข้อตกลงเร่งด่วนกับสหรัฐฯ ต่อจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
ทั้งสองประเทศตั้งเป้าผลักดันมูลค่าการค้าทวิภาคีจาก 1.276 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2025 ที่ผ่านมา ให้เพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
อย่างไรก็ตาม การเจรจาที่กำลังดำเนินอยู่นี้ยังคงเต็มไปด้วยความท้าทาย และยังไม่มีการเปิดเผยว่าอินเดียได้ยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการเพื่อขอยกเว้นภาษีระหว่างการเจรจาหรือไม่ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรมของอินเดียยังไม่ตอบสนองต่อคำร้องขอข้อมูลจากสื่อในขณะนี้