ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน และสิ่งที่จะช่วยให้ภาคธุรกิจลดการปล่อยคาร์บอนได้มากที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ ‘เทคโนโลยีการจัดการข้อมูล’ ไม่ว่าจะเป็นการจัดเก็บ จัดหมวดหมู่ และวิเคราะห์ข้อมูลการปล่อยคาร์บอน ที่จะช่วยให้บริษัทต่างๆ บ่งชี้กิจกรรมและวัดระดับคาร์บอนที่แต่ละกิจกรรมทางเศรษฐกิจปล่อยออกมาได้ ซึ่งสุดท้ายจะนำไปสู่การวางแผนลดการปล่อยคาร์บอนที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
ในการเสวนาหัวข้อ “SUSTAINABILITY ADOPTION BY LEADING ORGANIZATIONS IN SOUTHEAST ASIA” ‘เจอร์เกน คอปเพนส์’ (Jurgen Coppens) จาก Accenture บริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจและเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก กล่าวว่ามีบริษัทในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึง 82% แล้วที่นำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยเก็บข้อมูลการปฏิบัติตามหลัก สิ่งแวดล้อม (Environmental) สังคม (Social) และบรรษัทภิบาล (Governance) หรือ ESG ภายในองค์กร
แต่มีเพียง 19% เท่านั้นที่นำเทคโนโลยีระดับสูงเข้าไปใช้เก็บและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบระเบียบในทุกแผนกและหน่วยงาน และมีเพียง 13% เท่านั้นที่สามารถวัดและรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งควรเป็นสิ่งที่ทุกบริษัทในภูมิภาคควรเร่งทำให้เกิดขึ้น
และในงาน Sustainability Expo 2022 เมื่อวันที่ 1 ต.ค. ก็มีหลายบริษัทเทคโนโลยีจากทั้งในและนอกภูมิภาค อาทิ Tencent, Microsoft, Huawei และ SAP ได้มานำเสนอทั้งเทคโนโลยีและแผนงานในการเปลี่ยนวิถีการทำธุรกิจขององค์กรให้สอดคล้องกับหลัก ESG มากยิ่งขึ้น
ในส่วนของ ‘Tencent’ บริษัทอินเตอร์เน็ตรายใหญ่ของจีน ‘ศรุต อัศวกุล’ Solution Architect จาก Tencent Cloud Thailand กล่าวว่า Tencent มีเป้าหมายจะกลายเป็นบริษัท carbon-neutral คือปล่อยคาร์บอนออกไปในปริมาณเท่ากับที่ดูดซับเข้ามา และวางแผนจะทำให้ไฟฟ้าทั้งหมดที่บริษัทใช้ดำเนินงานมาจากพลังงานสะอาดภายในปี 2030
และการจะบรรลุผลเหล่านั้นได้ส่วนหนึ่งต้องมาจากการวางแผนการใช้พลังงานในอาคารสำนักงานซึ่งเป็นสถานที่ที่ผลิตคาร์บอนในสัดส่วนที่มากที่สุดแห่งหนึ่งของบริษัท ซึ่งจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่มีเทคโนโลยีมาช่วยวัดระดับการใช้พลังงานในแต่ละส่วน
โดยในการนี้ Tencent ได้ใช้ Internet of Things มาใช้เชื่อมเก็บข้อมูลจากหลายๆ เครื่องมือ และใช้เทคโนโลยี data visualization และ analytics ผ่าน AI เรียกว่า ‘Raydata Visualization System’ ที่จะสร้างภาพสามมิติจำลองอาคารขึ้นมา พร้อมวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้แบบ real-time ว่าตรงไหนของตัวตึกยังมีการใช้พลังงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้ใช้วางแผนการลดใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการนำร่องใช้ไปแล้วในอาคารสำนักงานของ Tencent ประเทศจีน
นอกจากนี้ Tencent ยังมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ช่วยในการแก้ปัญหามลพิษด้วยเช่น ‘Tencent Cloud Smart Video Analysis Platform (SVAP)’ ซึ่งเป็น image-processing AI ที่ช่วยจับปริมาณขยะในแต่ละพื้นที่ทั้งบนบกและในน้ำ เพื่อให้หน่วยงานที่นำไปใช้สามารถวางแผนการแก้ปัญหาขยะในแต่ละพื้นที่ได้อย่างเป็นระบบ
ในส่วนของ ‘Microsoft’ บริษัทซอฟต์แวร์และผู้ให้บริการ cloud computing ชั้นนำของโลกก็ได้นำเทคโนโลยีการจัดการข้อมูลไปใช้ในการวางแผนการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรเช่นกัน
‘โอม ศิวะดิตถ์’ National Technology Officer ของบริษัท Microsoft (Thailand) กล่าวว่า Microsoft มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัท ‘carbon-negative’ หรือบริษัทที่ดูดซับคาร์บอน ‘มากกว่า’ ปล่อยคาร์บอนภายในปี 2030
และสิ่งที่บริษัทได้พัฒนาขึ้นมาช่วยให้องค์กรสามารถลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คือ ‘Microsoft Sustainability Manager’ ซอฟต์แวร์ที่จะมาช่วยบันทึก จัดเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูลการปล่อยคาร์บอนขององค์กรในทุกขั้นตอนสายพานการผลิต และแสดงผลออกมาในแพลตฟอร์มเดียว ทำให้การวางแผนการลดปริมาณคาร์บอน และ การติดตามผลการปฏิบัติงานเป็นเรื่องง่าย
ในส่วนของ ‘Huawei’ ‘เอดวิน เดียนเดอร์’ (Edwin Diender) Chief Innovation Officer ของ Huawei Technologies กล่าวว่า สิ่งที่ช่วยให้บริษัทต่างๆ ลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คือการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมการจัดการข้อมูลเข้าไปช่วยในการดำเนินงาน และการเปลี่ยนจากการใช้พลังงานฟอสซิลไปเป็นพลังงานสะอาด หรือ digital transformation และ energy transition ที่จะทำให้ปต่ละบริษัทสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ในการลดการปล่อยปริมาณคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยในปัจจุบัน Huawei ได้มีโครงการนำร่องคือ โครงการของบริษัทที่ตั้งอยู่บริเวณทะเลสาบจงซาน เมืองตงกวน ที่จะได้นำเทคโนโลยีการจัดการข้อมูลของบริษัทเข้าไปจัดการการใช้พลังงานในเมือง โดยมีเทคโนโลยีผลิตพลังงานสะอาดจากทะเลสาบ และมีการนำรถยนต์ไฟฟ้าไปใช้ รวมไปถึงระบบกักเก็บพลังงาน
ส่วนทางด้าน ‘SAP’ บริษัทซอฟต์แวร์จากเยอรมันที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปและใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ซึ่งเป็นบริษัทสุดท้ายที่ได้มาแสดงวิสัยทัศน์และการดำเนินงานเพื่อลดปริมาณคาร์บอนในงานนี้ ก็กล่าวอีกเช่นกันว่า สิ่งสำคัญที่จะขาดไม่ได้เลยในการวางแผนลดการปล่อยคาร์บอนก็คือ ‘ข้อมูล’
เพราะถ้าหากไม่มีข้อมูลก็ไม่สามารถบ่งชี้ได้ว่าบริษัทยังมีข้อบกพร่องในการใช้พลังงานในส่วนไหนและอย่างไร บริษัทก็จะไม่มีสามารถวางแผนเปลี่ยนแปลงการดำเนินธุรกิจของตัวเองให้มีความยั่งยืนมากขึ้นอย่างตรงจุดได้
โดย ‘เดวิด โคลดรี’ (David Coldrey) Sustainability Lead ของ SAP Asia กล่าวว่า บริษัทต้องมองความยั่งยืนในหลายด้านที่ต้องขับเคลื่อนไปพร้อมกันทั้งด้านสิ่งแวดล้อม และสังคม โดยบริษัทได้ดำเนินการลดการปล่อยคาร์บอน โดยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาจัดการให้ทุกกิจกรรมรวมไปถึงการคมนาคมปล่อยมลพิษน้อยที่สุด รวมไปถึงซื้อขายคาร์บอนเคดรดิต
และลดขยะโดยติดตามทำระบบแยกและติดตามสิ่งของและทรัพยากรต่างๆ ในบริษัทเพื่อให้บริษัทนำสิ่งของเหล่านั้นกลับมาใช้ซ้ำได้อย่างเต็มที่ไม่ตกหล่น รวมไปถึงสร้างระบบการทำงานที่ปลอดภัยสำหรับพนักงานทำให้บริษัทและคุณภาพชีวิตของผู้ร่วมงานพัฒนาไปพร้อมๆ กัน
จากตัวอย่างของทั้ง 4 บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำจะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีการจัดการข้อมูลเข้าไปมีบทบาทสำคัญมากในการวางแผนลดการปล่อยคาร์บอนและนำทรัพยากรมาหมุนเวียนใช้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ทุกบริษัทต้องมีข้อมูลการใช้ทรัพยากรของตน เพื่อนำว่าบ่งชี้ปัญหา แก้ไขปัญหา และวัดผลการแก้ไขปัญหาได้
จึงนับได้ว่าบริษัทเทคโนโลยีที่สามารถให้ solution การจัดการข้อมูลด้านการใช้ทรัพยากรจะก้าวขึ้นมามีบทบาทมากในอนาคต เพราะในยุคที่ทุกวงการธุรกิจต้องตื่นตัวเรื่องความยั่งยืนแบบนี้ จะไม่ได้มีเพียงแค่บริษัทเทคโนโลยีเท่านั้นที่ต้องนำเทคโนโลยีแบบนี้มาใช้ แต่ทุกบริษัทจะต้องมีหน่วยงานและเครื่องมือที่ต้องมาช่วยวางแผนเพื่อเปลี่ยนแปลงการทำธุรกิจให้มีความยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งบริษัทเทคเหล่าจะเข้ามาช่วยแก้ pain point และให้ solution ที่ตรงจุดได้