นับตั้งแต่เกิดการรัฐประหารในเมียนมา และความขัดแย้งจุดชนวนสงครามกลางเมือง เมียนมาได้กลายมาเป็นแหล่งซ่องสุมของอาชญากรรมข้ามชาติที่หลากหลาย ทั้งนักค้าอาวุธ แก๊งค้ามนุษย์ ผู้ลักลอบล่าสัตว์ กลุ่มค้ายาเสพติด และแม้กระทั่งอาชญากรที่ถูกตามจับจากศาลระหว่างประเทศ
สาเหตุที่เมียนมากลายเป็นเมืองคนบาป เนื่องจากรัฐบาลทหารและกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆที่มีมากมายทั่วประเทศ ต้องการแหล่งเงินทุนมาใช้ทำสงคราม และเมื่อแก๊งอาชญากรเหล่านี้ยอมจ่ายเงินจำนวนมหาศาล พวกเขาก็ยอมหลับหูหลับตา ปล่อยให้แก๊งเหล่านั้นเข้ามา
แต่การแพร่ขยายของอาชญากรรมในเมียนมา กำลังส่งผลกระทบต่อประชากร 55 ล้านคนของประเทศ และที่น่ากลัวมากกว่านั้น มันยังส่งผลกระทบต่อทั่วโลกอีกด้วย
ปัจจุบัน เมียนมากลายเป็นผู้ผลิตฝิ่นรายใหญ่ที่สุดในโลก และยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตยาเสพติดรายใหญ่ที่สุดของโลก รวมถึงยาบ้า เคตามีน และเฟนทานิล ยาเสพติดที่ผลิตในเมียนมามักใช้สารตั้งต้นจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีนและอินเดีย และนำไปผลิตเป็นยาเม็ดที่มีการส่งออกไปยังประเทศต่างๆ
ในภูเขาแห่งหนึ่งที่รัฐฉาน ดอกฝิ่นได้รับการขนานนามว่า “ดอกไม้แห่งสันติภาพ” แต่ชื่อนี้เต็มไปด้วยความย้อนแย้ง เพราะในรัฐฉาน สันติภาพไม่เคยเกิดขึ้นจริงมาหลายสิบปีแล้ว และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กองกำลังชาติพันธุ์ของรัฐฉานก็ทำสงครามกับกองทัพรัฐบาลทหารเมียนมา
ท่ามกลางสงคราม ดอกฝิ่นเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะช่วงก่อนหน้านั้น รัฐบาลมีการปราบปรามการปลูกฝิ่น แต่ในช่วงสงครามกลางเมือง รัฐบาลสูญเสียอำนาจปกครองในหลายพื้นที่ เกษตรกรจึงปลูกดอกฝิ่นในหมู่บ้านของตัวเองกันอย่างเปิดเผย โดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจับกุม
สงครามในเมียนมา ทำให้กลุ่มอาชญากรรมจีนสีเทาขยายอิทธิพลเข้ามา แม้จะมีการปราบปรามบางครั้งจากรัฐบาลจีน แต่แก๊งเหล่านั้นก็เข้ามาตั้งโรงงานและบริษัทในหลายเมือง พวกเขาหลอกลวงผู้คนจากทั่วโลก เพื่อบังคับให้มาทำงานหลอกลวงผู้คนทางออนไลน์ และใช้ประเทศไทยเป็นทางผ่านในการเดินทาง
หนึ่งในคนที่ถูกหลอกไปเป็นแก๊งหลอกลวงออนไลน์เล่าประสบการณ์ว่า เขาทำงานเป็นกะ กะละ 12 ชั่วโมง พร้อมกับคนอื่นๆราว 40 คน ในตอนแรก เขาจะเลือกเหยื่อที่เป็นผู้หญิง ส่งข้อความไปหาเพื่อพยายามสร้างความสัมพันธ์ ก่อนจะชักชวนให้ลงทุนในโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยด้วยเงินดิจิทัล เขายังเล่าว่า เขาสามารถหลอกเงินจากเหยื่อได้มากถึง 80,000 ยูโร หรือประมาณ 2.8 ล้านบาท ในช่วงที่ทำงานนาน 8 เดือน แต่ในท้ายที่สุด เขาก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจที่ทำเช่นนั้น และตัดสินใจหลบหนีออกมา
สามเดือนก่อนการรัฐประหาร มีรายงานว่า ในพื้นที่ป่าสนของรัฐคะฉิ่น ทางตอนเหนือของพม่า มีเหมืองแร่หายากอยู่ 15 แห่ง แต่สามเดือนหลังจากการรัฐประหาร จำนวนเหมืองเพิ่มขึ้นห้าเท่า ตามคำกล่าวของชาวบ้าน
ในปี 2023 เมียนมาเป็นผู้ส่งออกแร่หายากที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมถึงดีสโพรเซียมและเทอร์เบียม ซึ่งใช้ในอุปกรณ์ต่างๆ เช่น รถยนต์ไฟฟ้าและกังหันลม
ก่อนการรัฐประหาร รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของพม่าพยายามควบคุมหรือห้ามการส่งออกแร่หายาก เนื่องจากเป็นกังวลว่าสิ่งแวดล้อมจะได้รับความเสียหายต่อจากการขุด
แต่หลังจากการรัฐประหาร รัฐบาลของหลายชาติได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรรัฐบาลทหารเมียนมา ทำให้นายพลระดับสูงหลายคนจำเป็นต้องหาแหล่งรายได้ใหม่ นั่นก็คือ เหมืองนั่นเอง แต่การทำเหมืองเหล่านี้ไม่มีการควบคุมด้านสิ่งแวดล้อมหรือสวัสดิการแรงงาน ภายในไม่กี่เดือน ป่าสนจำนวนมากถูกโค่นทำลาย