หลังจากเฟสบุคเปลี่ยนชื่อเป็น เมตา เมื่อปีที่แล้ว ซีอีโอ Meta มาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก ก็ได้ประกาศให้โลกรู้ว่าทิศทางของธุรกิจเมตา กำลังมุ่งสู่ Metaverse โดยมาร์กทุ่มงบประมาณมหาศาลมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ เพื่อสร้างโลกเสมือนนี้ให้กลายเป็นจริงซักที
โดยเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (20ก.ค.2565) มาร์ก ได้โพสคลิปวีดีโอเกี่ยวกับการอัพเดทชุดหูฟังต้นแบบที่ยังไม่แล้วเสร็จ ภายในห้องทดลองที่ยังคงต้องมีการปรับปรุงแก้ไขต่อไป เพื่อให้ผู้ใช้งานรู้สึกเหมือนจริงมากที่สุดเมื่อสวมใส่อุปกรณ์ โดยคาดว่าน่าจะนำออกมาจำหน่ายได้เร็วในปีหน้า
การทุ่มงบประมาณอย่างน้อย 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้ มุงไปที่การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทั้ง VR (virtual reality) ซึ่งจะพาผู้ใช้งานเข้าสู่โลกที่สร้างขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์ และ AR (augmented reality) ที่มีการวางซ้อนวัตถุที่ถูกสร้างด้วยคอมพิวเตอร์เหนือโลกแห่งความเป็นจริง
“ต้นแบบเหล่านี้เป็นการสั่งทำขึ้นเองภายในห้องแล็บของเรา ดังนั้นมันจึงยังไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่พร้อมจะจัดส่ง”
มาร์กกล่าว
แน่นอนว่า หากมาร์ก ประสบความสำเร็จในการพาทุกคนเข้าสู่เมตาเวิร์สได้ จะเปิดโอกาสให้เมตาสร้างรายได้จากการจำหน่ายฮาร์ดแวร์ ควบคู่ไปกับรายได้แพลตฟอร์มที่มีอยู่ได้ทันที ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาบริษัทอื่น เหมือนเช่นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มาร์ก ได้โพสเฟสบุคส่วนตัว เล่าถึงทิศทางธุรกิจในอนาคต โดยบอกถึงการปรับตัวของบริษัท เพระาได้รับผลกระทบ จากการที่ Apple ใช้นโยบายความเป็นส่วนตัวระบบปฏิบัติการ iOS ของไอโฟน นั่นทำให้เฟบุคมีความแม่นยำน้อยลงในการหารายได้จากโฆษณา
ปัจจุบันตลาดแว่น VR มีขนาดเล็ก และมีคำถามว่าตลาด VR จะเติบโตได้มากแค่ไหน โดย Meta เป็นผู้ครองยอดขาย VR ชุดหูฟัง โดยปัจจุบัน Quest 2 มูลค่า 299 เหรียญสหรัฐฯ คิดเป็น 78% ของยอดขายชุดหูฟังทั้งหมดในปี 2564 ตามการประมาณการของ IDC แต่จำนวนมีชุดหูฟัง VR ที่ขายได้ทั้งหมดมีเพียง 11.2 ล้านเครื่องซึ่งยังน้อยกว่าสินค้าอื่นอย่างมากเช่น สมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์
มาร์กอาจจำเป็นต้องออกมาอัพเดทสถานะของโลกเมตาเวิร์สที่เค้าทุ่มทุนสร้างมหาศาลและมีบริษัทเป็นเดิมพันให้โลกได้รับรู้ว่า ทุกอย่างกำลังเป็นไปได้ ทุกคนกำลังจะได้เข้าสู่เมตาเวิร์สจริงๆ ทั้งนี้ราคาหุ้นของเมตาตกลงแรงกว่า 50% ในปี 2565 นี้ ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงทั้งจาก TikTok และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงความเป็นส่วนตัวของ iPhone ซึ่งการออกมาสาธิตทดลองชุดหูฟังของมาร์ก เมื่อวันจันทร์ อาจจสร้างความั่นใจให้กับนักลงทุนได้บ้าง หรืออย่างน้อยก็ทำให่้ความกังวลลดน้อยลง
เป้าหมายของการพัฒนาแว่น คือต้องการความเหมือนจริง หากเราใส่แว่นเข้าไปก็จะต้องรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในห้องเดียวกันได้ ดังนั้นแว่นต้นแบบของเค้าต้องมีการปรับแก้ใน 4 เรื่องหลัก
Butterscotch ออกแบบมาเพื่อทดสอบจอแสดงผลที่มีความละเอียดสูงกว่ามีเลนส์ Meta ใหม่ที่พัฒนาขึ้นซึ่งลดข้อจำกัดขอบเขตการมองเห็นทำให้แสดงผลได้ละเอียดและสมจริงยิ่งขึ้น แต่เจ้าเครื่องต้นแบบรุ่นนี้ มันยังใหญ่เทอะทะเกินไป แถมยังแผงวงจรยังถูกเปิดออก
Half Dome 3 Meta มาร์กบอกว่าได้ทำงานกับชุดหูฟัง Half Dome มาตั้งแต่ปี 2017 เป็นอย่างน้อย เพื่อทดสอบจอแสดงผลประเภทหนึ่งที่สามารถเปลี่ยนจุดโฟกัสของเลนส์ได้ด้วยเทคโนโลยีของ Half Dome Meta ซึ่งมันสามารถปรับปรุงให้มีความละเอียดและคุณภาพของภาพดี เมื่อใช้กับจอคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ซึ่งรุ่นใหม่ล่าสุด 3 นี้มีการแทนที่ชิ้นส่วนกลไกด้วยเลนส์คริสตัลเหลว
Holocake 2 Meta รุ่นนี้จัดเป็นชุดหูฟัง VR ที่บางที่สุดและเบาที่สุดที่บริษัทผลิตขึ้นมา และสามารถเรียกใช้ซอฟต์แวร์ VR ใดๆ ได้อย่างเต็มที่หากเชื่อมต่อกับพีซี อย่างไรก็ตาม ต้องใช้เลเซอร์เฉพาะทางที่มีราคาแพงเกินไปสำหรับผู้บริโภค และต้องมีมาตรการป้องกันด้านความปลอดภัยเพิ่มเติม
Starburst เป็นหูฟังต้นแบบการวิจัยที่เน้นการแสดงช่วงไดนามิกสูงซึ่งสว่างกว่าและแสดงช่วงสีที่กว้างขึ้น Meta กล่าวว่า HDR เป็นเทคโนโลยีเดียวที่เชื่อมโยงกับความสมจริงมากที่สุด
Mirror Lake แสดงการออกแบบชุดหูฟังสไตล์แว่นตาสกี
Michael Abrash หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของ Meta Reality Labs กล่าวว่า "แนวคิด Mirror Lake มีแนวโน้มดี แต่ตอนนี้เป็นเพียงแนวคิดที่ไม่มีชุดหูฟังที่ทำงานได้อย่างสมบูรณ์แต่สร้างขึ้นเพื่อพิสูจน์สถาปัตยกรรมในขั้นสุดท้าย “แต่ถ้ามันไม่ปรากฏออกมา มันจะเป็นตัวเปลี่ยนเกมสำหรับประสบการณ์การมองเห็น VR”
คลิปเต็มๆ ของมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์ก
ที่มาข้อมูล CNBC