ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ที่จำนวนยอดผู้ติดเชื้อโควิดยังคงสูง ส่งผลโดยตรงต่อเศรษฐกิจไทยและตลาดแรงงาน เนื่องจากมีผู้ได้รับผลกระทบต่อธุรกิจเป็นจำนวนมาก พบอัตราการว่างงานทั้งในประเทศไทย และทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น
โดยข้อมูลจาก “องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO) ได้จัดทำ World Employment and Social Outlook – Trends (WESO Trends) ปี 2564 ซึ่งเป็นรายงานแนวโน้มการจ้างงานและประเด็นทางสังคมทั่วโลก พบว่า ILO มีการคาดการณ์ว่าวิกฤติตลาดแรงงานที่เกิดขึ้นจากการระบาดใหญ่ของโควิด-19 จะยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะมีการเติบโตของการจ้างงานอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะชดเชยความสูญเสียที่เกิดขึ้น และปัญหาดังกล่าวอาจจะกินระยะเวลายาวนานถึงปี 2566 เป็นอย่างน้อย
โดยองค์กรแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ยังระบุเพิ่มเติมว่า ตำแหน่งงานขาดแคลน เนื่องจากวิกฤติโลกกำลังทะยานสูงถึง 75 ล้านตำแหน่งในปีนี้ ก่อนจะปรับลดลงมาเหลือ 23 ล้านตำแหน่งในปีพ.ศ. 2565 รวมถึงการว่างงานและชั่วโมงการทำงานที่ลดลง มีจำนวนเทียบเท่ากับการจ้างงานเต็มเวลา 100 ล้านตำแหน่งในปีนี้ และ 26 ล้านตำแหน่งในปีหน้า อีกทั้งยังมีการคาดการณ์ว่าในปี 2565 จะมีคนว่างงานทั่วโลกพุ่งสูงถึง “205 ล้านคน” ซึ่งสูงกว่าปี 2562 ที่มีคนว่างงานทั่วโลกอยู่ที่ 187 ล้านคน ข้อมูลตรงนี้สอดคล้องกับอัตราการว่างงานที่ 5.7 % และหากตัดเหตุผลด้านการระบาดของโควิด-19 ออกไป
ปัจจุบันธุรกิจจำนวนมากต้องปิดตัวลง และยังมีธุรกิจอีกหลายแห่งที่มีการลดจำนวนพนักงานลง ลดการขยายสาขา ลดวัตถุดิบในการประกอบธุรกิจ รวมถึงการลดค่าจ้าง เพื่อความอยู่รอดในสถานการณ์เลวร้ายนี้ให้ได้ ทำให้ตั้งแต่ต้นปี 2563 ประเทศไทยอยู่ในสภาวะที่มีคนตกงานเป็นจำนวนมาก หากเปรียบเทียบตัวเลขแรงงานในระบบประกันสังคมมาตรา 33 ในเดือน พ.ค.2564 พบว่ามีจำนวน 11.07 ล้านคน ขณะที่ช่วงเดียวกันในปี 2562 ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 มีแรงงานในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 อยู่ที่ 11.54 ล้านคน ข้อมูลตรงนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าวิกฤติเศรษฐกิจทำให้แรงงานในระบบหายไปแล้วถึง 4.63 แสนคน หรือลดลงกว่า 4.01%
ผศ.ดร.วีรณัฐ โรจนประภา นวัตกรทางความคิด ผู้ก่อตั้งและประธานมูลนิธิบ้านอารีย์ กล่าวว่า หลายคนสงสัยและตั้งคำถามว่าอาชีพอะไรที่จะสามารถตอบโจทย์และสามารถปรับตัวให้เข้ากับวิกฤตครั้งนี้ได้ เพื่อเพิ่มช่องทางในการหารายได้ที่สวนทางกับสภาวะรายจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้บางคนมองหาโอกาสในการสร้างอาชีพที่จะสามารถพยุงตัวเองให้อยู่รอดในยามวิกฤตเช่นนี้ ซึ่งปัจจุบันหลายอาชีพเริ่มมีการปรับตัว นำแนวทางความยั่งยืนมาใช้บนพื้นฐานของทรัพยากรธรรมชาติ และการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาด้วยกันทุกภาคส่วน สอดคล้องกับแผนการพัฒนาอย่างยั่งยืน หรือ SDGs อาชีพแห่งอนาคตนั่นเอง
ทุกคนในประเทศหันมาให้ความใส่ใจกับคำว่า “New Normal” เพราะตั้งแต่โควิด–19 เริ่มระบาดหนักขึ้น มนุษย์ทุกคนจึงหันมาให้ความสำคัญกับวิถีการดำรงชีวิตแบบ New normal มากขึ้น จึงทำให้เกิดอาชีพทางเลือก (ทางรอด) ของแต่ละคน ที่ต้องการหาลู่ทางในการสร้างรายได้ เพื่อจะหล่อเลี้ยงตัวเองและคนในครอบครัว จึงเกิดเป็นอาชีพใหม่ที่หลายคนมองข้าม ซึ่งนั่นอาจจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างรายได้อันมหาศาลให้กับคนที่มองเห็น ตัวอย่างเช่น
ขายของออนไลน์ ในยุคนี้ธุรกิจออนไลน์ดูน่าจะมีแนวโน้มที่ดี โดยไม่จำเป็นต้องเปิดขายหน้าร้านก็สามารถสร้างกำไรได้อย่างมาก ประกอบกับไลฟ์สไตล์ของคนที่เปลี่ยนไปที่ต้องการหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าไปยังสถานที่แออัดและเสี่ยงภัยในยุคโควิดแบบนี้
อาชีพไรเดอร์ (Rider) เป็นอาชีพที่ยังคงมีความต้องการสูง เนื่องจากประชาชนต้องใช้เวลาในการอยู่กับบ้าน บางครั้งก็ไม่อยากออกไปเผชิญกับโควิด-19 จึงเลือกใช้บริการไรเดอร์ เพื่อความสะดวกสบายในการสั่งสินค้าหรือการบริการที่ลูกค้าเหล่านั้นต้องการ
งานด้าน E-Learning โลกแห่งการเรียนรู้ในยุคดิจิทัล คือการเรียนแบบออนไลน์ เราอาจจะใช้ความสามารถที่เราถนัดออกแบบการสอนทำอาหาร การสอนจัดดอกไม้ หรือแม้แต่การฝึกอบรมต่าง ๆ ที่หลายคนสามารถทำเป็นอาชีพเสริมสร้างรายได้แบบเป็นกอบเป็นกำ
งานด้านการตลาด นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งในการสื่อสารกับผู้บริโภคและประชาชนทั่วไป ให้เข้าใจ เข้าถึง เพราะอาชีพนักสื่อสารการตลาด หรือนักการตลาดดิจิทัล ต้องใช้ความสามารถที่ตนถนัดอย่างหนักในการสื่อสาร สร้างความเข้าใจอย่างถูกต้องให้แก่แบรนด์สินค้าและการบริการนั้น ๆ ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้า เกิดการซื้อสินค้าท่ามกลางสถานการณ์ที่ยังอยู่ในภาวะแห่งความกังวลใจ
งานธุรกิจขายประกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวแทนขายประกันชีวิต ถือเป็นอาชีพม้ามืดที่มาแรงอีกอาชีพหนึ่ง ท่ามกลางสถาการณ์วิกฤตโควิด-19 ด้วยความต้องการในการคุ้มครองความปลอดภัยที่ท่วมท้น บางคนตกอยู่ในภาวะกังวลว่าตนจะมีความเสี่ยง จึงทำให้ธุรกิจประกันชีวิตมียอดการเติบโตทางธุรกิจที่สูงมากในช่วงเวลานี้
อาชีพอิสระต่างๆ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล ที่สามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งเด็กยุคใหม่หันมาประกอบอาชีพทางเลือกนี้ และบางรายอาจกลายเป็นอาชีพหลัก จนทำให้เป็นแหล่งรายได้สำคัญ เช่น blogger, reviewer, youtuber, นักเขียน รวมถึงแอดมินเพจ เป็นต้น
Sustainable Development Goals (SDGs) คือ แผนการพัฒนาโลกเพื่อความยั่งยืน โดยองค์กรสหประชาชาติได้ทำการสำรวจและสรุปปัญหาระดับโลกออกมา ซึ่งมีทั้งสิ้น 17 เป้าหมาย และจำเป็นต้องผลักดันให้แล้วเสร็จภายในปี ค.ศ. 2030 ให้คนที่ทำธุรกิจหันมามองว่า ธุรกิจของเราสอดคล้องมากน้อยแค่ไหน หากสอดคล้องแล้วต้องดูด้วยว่าวิถีใหม่ของคนทั่วไปที่จะเปลี่ยนแปลงนอกเหนือจากนั้น วิธีคิดแบบ Creative การมองโลกอย่างเข้าใจที่แท้จริง ถ้าหากเราคิดถึงสังคม คิดถึงสิ่งแวดล้อม คิดถึงการเปลี่ยนแปลง แล้วเริ่มต้นที่ตัวเราก่อน ปัญหาทุกอย่างก็จะเห็นหนทางแห่งชีวิต เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่เราในยุคนี้ แต่นี่คืออุบัติภัยที่จะเกิดขึ้นกับคนรุ่นถัดไปในอนาคต”
ดังนั้น การทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ให้เชื่อมโยงไปอีกสิ่งหนึ่งในทั้งหมด 17 ข้อ จึงจำเป็นต้องใช้การคิดแบบ Creative Thinking หรือ Creativity ที่สูงมากเรียกได้ว่าเป็นความท้าทายที่เราจะต้องมีความพยายามออกแบบอาชีพของเราให้ตอบโจทย์ให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่แค่ข้อใดข้อหนึ่ง แต่ต้องเป็นอาชีพใดของเราที่สามารถตอบโจทย์ SDGs ได้หลากหลายมากที่สุด นั่นแหละคือความสำเร็จจากนิยามคำว่า SDGs
ถือเป็นโอกาสทองของคนมองเห็น และเป็นภัยคุกคามของคนที่ละเลย จึงกลายเป็นสโลแกนประจำตัวที่สามารถสร้างความตระหนักรู้ กระตุ้นเตือนให้เกิดความร่วมมือของคนไทย” ดร.วีรณัฐ กล่าวทิ้งท้าย.