ผลิตภัณฑ์กันแดดแต่ละแบรนด์ในท้องตลาดนั้น มีตัวเลือก SPF ที่หลากหลายให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อ ซึ่ง SPF สูงๆ เช่น SPF 50 ก็มักจะเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคนิยมเลือก เพราะคิดว่ากันแดด SPF ยิ่งสูงนั้นจะยิ่งดี
แต่ในความเป็นจริงแล้ว กันแดด SPF ยิ่งสูงยิ่งดีจริงหรือ? ประสิทธิภาพในการกันแดดที่ได้มา คุ้มกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หรือไม่? แล้วเราควรเลือกกันแดดอย่างไรให้เหมาะสมดี? ในคอนเทนต์นี้ผมจะอธิบายให้ฟังครับ
SPF หรือชื่อเต็ม ๆ คือ Sun Protection Factor เป็นค่าที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVB (ซึ่งมีผลเสียทำให้ผิวไหม้ แสบ แดง) ว่าป้องกันได้เท่าไหร่ครับ หลายคนมักจะคิดว่า SPF นั้น ค่ายิ่งสูงก็ยิ่งดี เพราะน่าจะป้องกันรังสี UV ได้มากขึ้นใช่มั้ยครับ แต่ความเป็นจริงแล้วเป็นแบบนั้นหรือเปล่า ผมขอยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ดังนี้ครับ
กรณีที่ 1
เมื่อเราทากันแดด SPF 30 จะมีรังสี UVB ผ่านสู่ผิวหนังเรา 1/30 ส่วน ซึ่งหมายความว่า กันแดดนั้นจะป้องกัน UVB ได้ 29/30 ส่วน หรือประมาณ 97% นั่นเอง
กรณีที่ 2
เมื่อเราทากันแดด SPF 50 จะมีรังสี UVB ผ่านสู่ผิวหนังเรา 1/50 ส่วน หมายความว่า กันแดดนั้นจะป้องกัน UVB ได้ 49/50 ส่วน หรือประมาณ 98%
ซึ่งจากทั้ง 2 กรณี จะสังเกตได้ว่ากันแดด SFP 50 มีประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสี UVB ต่างจากกันแดด SPF 30 เพียง 1% เท่านั้นเองครับ ซึ่งอาจจะไม่คุ้มเลยครับกับการที่ผิวจะได้รับผลข้างเคียงจากสารกันแดด เช่น การระคายเคืองผิวมากขึ้น
เวลาที่เราจะเลือกใช้ครีมกันแดดสักตัวหนึ่ง นอกจากจะต้องพิจารณาค่า SPF แล้ว อีก 1 ค่าที่มีความสำคัญและควรพิจารณาด้วยเช่นกันก็คือ ‘PA’ นั่นเองครับ
PA หรือชื่อเต็ม ๆ คือ Protection Grade of UVA เป็นค่าที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA (ซึ่งมีผลเสียทำให้ผิวคล้ำ หย่อนคล้อย และเกิดริ้วรอยก่อนวัย) โดยจะแสดงเป็นจำนวนเครื่องหมาย + ครับ
จำนวนเครื่องหมายบวกหลัง PA สามารถแปลงเป็นตัวเลขค่าการปกป้องได้ ดังตารางในภาพด้านบนครับตัวอย่างเช่น
กรณีที่ 1
เมื่อเราทากันแดด PA +++ จะมีรังสี UVA ผ่านสู่ผิวหนังเราไม่เกิน 1/8 ส่วน ซึ่งหมายความว่า กันแดดนั้นจะป้องกัน UVA ได้อย่างน้อย 7/8 ส่วน หรือประมาณ 88% นั่นเอง
กรณีที่ 2
เมื่อเราทากันแดด PA ++++ จะมีรังสี UVA ผ่านสู่ผิวหนังเราไม่เกิน 1/16 ส่วน หมายความว่า กันแดดนั้นจะป้องกัน UVA ได้อย่างน้อย 15/16 ส่วน หรือประมาณ 94%
ซึ่งจากทั้ง 2 กรณี จะสังเกตได้ว่า PA+++ มีประสิทธิภาพในการปกป้อง UVA ต่างจาก PA++++ ราว 6% เลยทีเดียว ดังนั้น เราอาจจะพิจารณาได้ว่า กันแดด PA++++ นั้นเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าครับ
วิธีเลือกกันแดดให้เหมาะสมกับสถานการณ์
การเลือกใช้กันแดดในแต่ละวัน เราอาจจะต้องพิจารณาสถานการณ์ หรือกิจกรรมในวันนั้น ๆ ดูครับว่าเป็นอย่างไร
ตัวอย่างเช่น หากเป็นชีวิตประจำวันทั่ว ๆ ไป ไม่ได้มีความจำเป็นต้องตากแดดนาน การเลือกใช้กันแดด SPF 30 PA++++ ก็เพียงพอต่อการปกป้องผิวจากรังสี UV แล้วครับ
แต่ถ้าหากต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งติดต่อกันเป็นเวลานาน ไปเที่ยวทะเล หรือไปสถานที่ที่ต้องตากแดดเยอะ ๆ การเลือกใช้กันแดด SPF 50 PA++++ ในการปกป้องผิวก็อาจจะเหมาะสมกับสถานการณ์มากกว่าครับ เพราะถึงแม้ว่า ผิวเราจะได้รับผลข้างเคียงจากสารกันแดดที่เพิ่มมากขึ้นก็จริง แต่นั่นก็ยังไม่อันตรายเท่าผลเสียที่เราจะได้รับจากรังสี UV ครับ
----
นักวิจัยสกินแคร์คนไทย ประสบการณ์ทำงานในบริษัทเครื่องสำอาง Top 3 ของญี่ปุ่น ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาด้านสูตรสกินแคร์ให้กับแบรนด์สกินแคร์ทั้งในและต่างประเทศ และเป็นผู้ก่อตั้ง แบรนด์ AMT Skincare
อ่านประวัติผู้เขียนต่อ คลิก
จบทุกปัญหาผิว ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ฟรี!
AMT Skincare Official Line
แอดไลน์ @amtskincare หรือ คลิก
บทความที่เกี่ยวข้อง
- 5 สัญญาณที่บ่งบอกว่าผิวคุณกำลังแย่!
Advertisement