Mazda ประกาศแนวทางธุรกิจมุ่งมั่นสู่การเติบโตแบบยั่งยืน ให้ความสำคัญสูงสุดกับการสร้างแบรนด์และบริการหลังการขาย ตามกลยุทธ์ Retention Business Model ตั้งเป้าเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งที่ลูกค้าเลือก Top Customer Retention Brand และเป็นอันดับหนึ่งด้านการบริการ Top Service Retention นอกจากนี้ แผนการพัฒนาธุรกิจรถมือสองคุณภาพดี Mazda CPO ยังส่งผลให้ราคารถยนต์มือสอง (Residual Value) มีราคาขายต่อสูงขึ้น เช่น Mazda 2 อายุ 6 ปี มีมูลค่าการขายต่อเพิ่มขึ้นเป็น 55%
ด้านประธานบริหารมาสด้า มร. ทาดาชิ มิอุระ ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งครบหนึ่งปีเต็ม กล่าวว่า มาสด้าขอขอบคุณลูกค้าชาวไทยเป็นอย่างสูงที่ไว้วางใจในผลิตภัณฑ์และสนับสนุนมาสด้าเป็นอย่างดี นับตั้งแต่ปี 2565 ที่ผ่านมา มาสด้ากำหนดแนวทางในดำเนินธุรกิจใหม่เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้โมเดลธุรกิจ Retention Business Model สร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าในทุก Touchpoints ส่งมอบการบริการที่เป็นเลิศแบบครบวงจร ตั้งแต่ก่อนการขายจนถึงการบริการหลังการขาย ให้ความสำคัญสูงสุดกับการสร้างคุณค่าแบรนด์และสร้างความผูกพันกับลูกค้าในระยะยาว นับเป็นนโยบายสำคัญที่มาสด้ายึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติ และส่งมอบให้กับลูกค้าในประเทศไทยและทั่วโลก โดยในปีที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้าและแฟนมาสด้า รวมถึงผู้จำหน่ายด้วยเช่นกัน
สำหรับปีงบประมาณ 2565 ที่ผ่านมา Mazda ประสบความสำเร็จจากการนำ Rentention Business Model มาใช้ โดยเฉพาะในด้านของการกลับมาเข้ารับบริการของลูกค้า (Service Retention) ที่เพิ่มขึ้นจาก 72% ในปีงบประมาณ 2561 เป็น 85% ในปีงบประมาณ 2565 พร้อมกับมีอัตราการกลับมาซื้อซ้ำของลูกค้า (Repurchase) เพิ่มสูงขึ้นจาก 15% ในปีงบประมาณ 2561 เป็น 30% ในปีงบประมาณ 2565 หรือเพิ่มขึ้น 100% ซึ่งเป็นไปตามแผนที่มาสด้าวางไว้ นอกจากนั้น การแผนการพัฒนาธุรกิจรถมือสองคุณภาพดี Mazda CPO ก็ดำเนินไปได้ด้วยดี ส่งผลให้ราคารถยนต์มือสอง (Residual Value) มีราคาขายต่อสูงขึ้น เช่น Mazda 2 อายุ 6 ปี มีมูลค่าการขายต่อเพิ่มขึ้นเป็น 55% และ Mazda 2 Minorchange คาดว่าจะเตรียมเปิดตัวภายในประเทศไทยช่วงปลายปีนี้ โดยจะถือว่าเป็นการลากโฉมปัจจุบันเข้าสู่ปีที่ 9 อีกด้วย
มร. ทาดาชิ มิอุระ แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีงบประมาณ 2566 ว่า “ภาพรวมปี 2566 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตขึ้นจากปี 2565 คาดว่าตัวเลข GDP จะโตอยู่ในช่วง 3.3%-3.7% ซึ่งได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวด้านการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชน การฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ภาคการเกษตรและการส่งออก ทำให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์จะเติบโตขึ้นเล็กน้อยประมาณ 5% คาดว่ายอดรวมน่าจะอยู่ที่ประมาณ 900,000 คัน ในขณะที่มาสด้าได้ตั้งเป้าส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 3.5% เนื่องจากจะมีรถยนต์รุ่นใหม่เข้ามาเสริมทัพ”
อีกหนึ่งความสำเร็จ คือ รถยนต์ภายใต้เทคโนโลยี Skyactiv ที่ใช้แนวทางการออกแบบ KODO-Soul of Motion โดย Mazda เริ่มจำหน่ายรถยนต์ภายใต้เทคโนโลยีส Skyactiv รุ่นแรกในประเทศไทย เมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2556 และประสบความสำเร็จ ปัจจุบันอยู่ในการครอบครองของลูกค้าแล้วมากกว่า 360,000 คัน โดย Mazda 2 ยังคงครองความนิยมในตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็ก ด้วยจำนวน 224,000 คัน Mazda 3 จำนวน 42,000 คัน ครอสโอเวอร์เอสยูวี Mazda CX-3 จำนวน 30,000 คัน Mazda CX-30 จำนวน 20,000 คัน Mazda CX-5 จำนวน 35,000 คัน Mazda CX-8 จำนวน 6,000 คัน รถสปอร์ตโรดสเตอร์เปิดประทุน Mazda MX-5 จำนวน 150 คัน และ Mazda BT-50 อีกจำนวน 3,000 คัน
นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2566 มาสด้ายังคงเดินหน้าตามแผนการดำเนินธุรกิจ Retention Business Model ซึ่งเป็นกลยุทธ์ใหม่ที่ประกาศไปเมื่อปีที่แล้ว แต่เพิ่มเติมเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายยิ่งขึ้น มุ่งสู่การเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งด้าน Customer Retention ต้องเป็นแบรนด์ที่ลูกค้าเลือก คือ Top Retention Brand ให้บริการที่ลูกค้าพึงพอใจ Top Service Retention รวมถึงรักษาส่วนแบ่งการตลาดในแต่ละพื้นที่ Maintain Market Share นำเสนอคุณค่าของแบรนด์ผ่านประสบการณ์และความพึงพอใจสูงสุดของลูกค้าเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา แต่ครอบคลุมรอบด้านมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่เรามุ่งมั่นเพื่อเดินหน้าตามแผนงานระยะกลาง Mid-Term Management Plan ให้ความสำคัญกับการสร้างมูลค่าแบรนด์ (Brand Value Management) ก้าวสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต