Ford (Thailand) กวาดยอดขายรถรวม 36,483 คันในปี 2566 ถือเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยม ขึ้นแท่นอันดับ 4 ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ขณะที่ Ford Ranger มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 9.2% จาก 8.7% ในปีก่อนหน้า และ Ford Everest มีส่วนแบ่งตลาด 19.8% จาก 14.8% ในปีก่อนหน้า ทำให้ทั้ง 2 รุ่น ขึ้นครองตำแหน่งรถขายดีที่สุดอันดับ 3 ทั้งในกลุ่มรถกระบะและ PPV
“ฟอร์ดยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ลูกค้าชาวไทยมั่นใจในแบรนด์ฟอร์ด ส่งผลให้ฟอร์ดมียอดขายรวมตลอดทั้งปีสูงสุดเป็นอันดับ 4 ในประเทศไทย ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมอันโดดเด่นที่สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้ตลาดรถยนต์ไทยอยู่เสมอ ประกอบกับความไว้วางใจของลูกค้าในการใช้งานนวัตกรรมบริการต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้ฟอร์ดยังคงเดินหน้าสร้างสีสันต่อยอดความสำเร็จของเรนเจอร์ และเอเวอเรสต์ เพื่อส่งมอบรถยนต์คุณภาพที่ตอบโจทย์การใช้งานอันหลากหลาย เป็นรถคู่ใจให้ลูกค้าเดินทางไปสู่จุดมุ่งหมายในการใช้ชีวิตตามต้องการ” นายรัฐการ จูตะเสน กรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าว
นอกจากกระแสความนิยมที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทยแล้ว รถทั้ง 2 รุ่นที่ผลิตในประเทศไทย โดย โรงงานฟอร์ด ไทยแลนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง (เอฟทีเอ็ม) และ โรงงานออโต้อัลลายแอนซ์ ประเทศไทย (เอเอที) ก็ยังได้รับความนิยมไปทั่วโลก ล่าสุด Ford Ranger คว้าตำแหน่งรถยนต์ขายดีที่สุดอันดับ 1 ในประเทศออสเตรเลียเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปี และครองอันดับ 1 รถยนต์ที่ขายดีที่สุดในนิวซีแลนด์1 เป็นปีที่ 9 ต่อเนื่อง และยังเป็นผู้นำในตลาดรถกระบะในทั้งทวีปยุโรป สหราชอาณาจักร รวมถึงประเทศเวียดนาม และยังได้รับรางวัลรถกระบะยอดเยี่ยมแห่งปี จากหลากหลายหน่วยงานทั้งในประเทศออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ และในสหราชอาณาจักร
Ford Ranger และ Ford Everest โดยฝีมือคนไทยถูกส่งออกไปกว่า 180 ประเทศทั่วโลก โดยโรงงานเอฟทีเอ็มและโรงงานเอเอทีเป็นฐานการผลิตรถยนต์ฟอร์ดที่ได้มาตรฐานระดับโลก ครอบคลุมตั้งแต่ขั้นตอนการขึ้นรูปชิ้นส่วนรถยนต์ งานพ่นสี งานประกอบชิ้นส่วนรถยนต์ และการทดสอบคุณภาพรถก่อนส่งไปยังผู้จำหน่ายฟอร์ดทั่วโลก มีจำนวนพนักงานในโรงงานทั้ง 2 แห่งรวมกันถึง 9,000 คน ทำให้ Ford มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเป็นอย่างมาก
เพื่อตอบสนองต่อความต้องการ Ford Ranger และ Ford Everest ในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ในปีที่ผ่านมา Ford ได้ลงนามในสัญญาเช่าเหมาลำเรือขนส่งสินค้าแกรนด์ เควสต์ (Grand Quest) เป็นระยะเวลานาน 3 ปี เพื่อช่วยลดระยะเวลารอรับมอบรถ พร้อมทั้งเร่งลำเลียงรถยนต์ที่ผลิตจากโรงงานเอฟทีเอ็มและโรงงานเอเอทีในประเทศไทยไปส่งมอบได้อย่างทันท่วงที