ถือว่าเป็นเรื่องราวสั่นสะเทือนของวงการยานยนต์ นับตั้งแต่การรุกตลาดของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ของประเทศจีน เนื่องจากมันลบภาพจำเดิมๆ ที่ว่าคนไทยได้ใช้แค่รถสเปคไทย แต่รถไฟฟ้าจากจีนนั้นเรียกได้ว่าเป็นแบบ Global Platform ต่างประเทศได้แบบไหน บ้านเราก็จัดเต็มแบบนั้น
รวมถึงความสดใหม่ รูปลักษณ์งานดีไซน์ สมรรถนะของการขับขี่ และที่ถือเป็นปัจจัยสำคัญคือเรื่องของการประหยัดเม็ดเงินของเจ้าของรถ ซึ่งมันเกี่ยวโยงถึงภาวะเศรษฐกิจแบบในปัจจุบันเป็นอย่างดี ด้วยราคาพลังงานน้ำมันที่ถีบตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้คนมองหาตัวเลือกใหม่สำหรับตัวเองที่เหมาะสม
ยักษ์สะเทือนกับการมาของรถยนต์ไฟฟ้า?
แน่นอนผู้ที่ได้รับผลกระทบเต็มๆ ย่อมหนีไม่พ้นเจ้าของพื้นที่เดิมในอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยเฉพาะผู้นำในตลาดประเทศไทยอย่าง Toyota ที่ดูเหมือนจะออกตัวช้า ไม่ทันใจบรรดาแฟนคลับ จนต้องเสียฐานบางส่วนให้กับรถยนต์ไฟฟ้าไปแล้วนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ค่อนข้างเป็นที่แน่ชัดแล้วว่ายักษ์ใหญ่ไม่ได้หลับไหลอย่างที่หลายคนสงสัย เพียงแค่ว่ายังอยู่ในขั้นตอนพัฒนาให้ได้ตามมาตรฐานอย่างที่วางเป้าหมาย โดย Toyota ได้ให้พันธะสัญญาต่อสาธารณชนไว้ว่า EV ใน Generation ถัดไปจะต้องวิ่งได้ไกลกว่า 1,500 กม.ต่อการชาร์จ ด้วยแบตเตอรี Solid State ที่มั่นใจว่าจะต้องเหนือชั้นกว่าแบตเตอรี LFP ซึ่งมันดีพอที่จะทำให้รถยนต์ไฟฟ้าในยุคต่อไปสามารถวิ่งได้ระยะทางเป็น 2 เท่าของรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน รวมถึงใช้เวลาในการชาร์จ 10 นาที จะต้องวิ่งได้ระยะทางไม่น้อยกว่า 950 กม.
วางแผนแบ่งปันเทคโนโลยีกับค่ายพันธมิตร
หนึ่งในประเด็นสำคัญคือการออกมาประกาศให้ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น Mazda, Subaru, Suzuki, Isuzu และค่ายพันธมิตร สามารถแบ่งปันเทคโนยี EV Generation ใหม่นี้ได้ เพื่อส่งเสริมตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของกลุ่มผู้ผลิตแบรนด์ญี่ปุ่นให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
โดยในปัจจุบัน bZ4X รถยนต์ EV จาก Toyota ยังเป็นรุ่นหลักเพียงรุ่นเดียวที่คนได้เริ่มสัมผัสแบบจริงๆ จังๆ ซึ่งมันวิ่งได้ระยะทาง 411 กม./ชาร์จ ส่วนฝาแฝดอย่าง Sloterra จากค่าย Subaru ที่ทำตลาดในสหรัฐอเมริกา สามารถวิ่งได้ระยะทางเพียง 367 กม./ชาร์จ เท่านั้น
กำหนดการเปิดตัว EV Generation ใหม่
สำหรับเทคโนโลยี EV Generation ใหม่ ทาง Toyota ได้วางกำหนดการเปิดตัวไว้ในปี 2026 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้ว่ามันจะสายไปแล้วหรือไม่ หรือว่ามันจะกลายเป็นจุดพลิกเกมครั้งสำคัญให้กับค่ายรถจากแดนอาทิตย์อุทัยจริงๆ
นอกจากแผนพัฒนาที่เป็นเหมือนการ Upgrade เกี่ยวกับระบบขุมพลังการขับเคลื่อนแล้ว ในส่วนของตัวถังและส่วนประกอบขึ้นรูปต่างๆ ทาง Toyota ได้มองหาวิธีการใหม่ๆ โดยมองไปที่การขึ้นรูปด้วยงานหล่อชิ้นใหญ่ คล้ายกับ Tesla ที่ให้ความแข็งแกร่งและทนทาน รวมถึงสามารถควบคุมต้นทุนในการผลิตให้ลดลงได้
ที่ผ่านมา Toyota และบริษัทในกลุ่มพันธมิตร ผลิตรถยนต์รวมกันได้ราว 16 ล้านคันต่อปี และหากเรื่องราวที่เปิดเผยออกมาว่าทาง Toyota วางแผนที่จะเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับกับเทคโลยี EV ใน Generation ใหม่นี้ ให้กับค่ายรถยนต์ต่างๆ เกิดขึ้นจริงแล้วละก็ คิดว่าจะเป็นการร่วมแรงครั้งยิ่งใหญ่ของค่ายรถแดนปลาดิบ ในการช่วงชิงตลาดยานยนต์จากค่ายจีนให้กลับมาอยู่ได้มือได้อีกครั้ง หรือ "มันอาจไม่มีโอกาสได้เกิดขึ้น" ก็เป็นได้