การขับรถยนต์ไม่ใช่เพียงแค่การพารถจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นการแบ่งปันถนนกับผู้อื่นในสังคม ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ด้วยกัน จักรยานยนต์ คนเดินถนน หรือแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงที่อาจโผล่มาโดยไม่ทันตั้งตัว ทุกการเคลื่อนไหวบนถนนมีผลต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนรอบข้าง การมี “วินัย” และ “สติ” จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก แต่ในทางกลับกัน หากผู้ขับขี่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ก็อาจเป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุและปัญหาบนท้องถนนได้โดยไม่รู้ตัว
นี่คือพฤติกรรมที่ “ไม่ควรทำ” ขณะขับรถ และควรหลีกเลี่ยงอย่างเคร่งครัด
พฤติกรรมนี้เรียกได้ว่าเป็น “ภัยเงียบ” ที่พบได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน หลายคนอาจคิดว่าเพียงแค่หันไปอ่านข้อความไม่กี่วินาที หรือกดเปลี่ยนเพลงระหว่างขับรถไม่น่าเป็นไร แต่ความจริงแล้ว การละสายตาจากถนนเพียง 3-5 วินาทีขณะขับรถด้วยความเร็ว 60-80 กม./ชม. รถจะเคลื่อนที่ไปไกลหลายสิบเมตร ซึ่งเพียงพอให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรงได้ทันที
ความเร็วไม่ได้หมายถึงความเร้าใจเพียงอย่างเดียว แต่มันคือการลดเวลาในการตัดสินใจ ควบคุมรถ และเบรก หากผู้ขับขี่ใช้ความเร็วเกินกำหนดโดยเฉพาะในเขตเมืองหรือบริเวณที่มีคนพลุกพล่าน เช่น หน้าโรงเรียน ทางม้าลาย หรือซอยแคบ ๆ โอกาสชนหรือเบรกไม่ทันจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เป็นพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายและเสี่ยงอันตรายที่สุด แอลกอฮอล์และสารเสพติดทุกชนิดจะส่งผลต่อการควบคุมสมอง การตัดสินใจ การตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน รวมถึงอารมณ์ของผู้ขับขี่ด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้คือสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการขับรถ
เมื่อร่างกายเหนื่อยล้า สมองจะตอบสนองช้าลง และมีโอกาส “หลับใน” โดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะในการขับรถทางไกลหรือในช่วงเวลาดึก หลายอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในลักษณะพุ่งตกถนน ชนต้นไม้ หรือแซงแล้วไม่พ้น ล้วนมีสาเหตุมาจากความอ่อนล้าของคนขับเป็นส่วนใหญ่
พฤติกรรมที่เห็นได้บ่อย เช่น ไม่ยอมให้ทาง, ปาดหน้า, เบียดเลน, ขับไล่บี้ หรือขับจี้ท้าย โดยเฉพาะในชั่วโมงเร่งด่วนหรือขณะอารมณ์เสีย สิ่งเหล่านี้นอกจากจะสร้างความเครียดให้ผู้ใช้ถนนคนอื่นแล้ว ยังเพิ่มโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย การมีน้ำใจและความอดทนจึงเป็นสิ่งจำเป็นบนท้องถนน
ไฟเลี้ยวไม่ใช่แค่เครื่องประดับรถ แต่มันคือภาษาสื่อสารที่สำคัญบนถนน หลายคนเลือกไม่เปิดไฟเลี้ยวเพราะ “คิดว่าไม่มีใครอยู่ใกล้” หรือ “รีบ” การเปลี่ยนเลน เลี้ยว หรือจอดรถโดยไม่แจ้งเตือนล่วงหน้า เป็นพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการถูกชนหรือทำให้คันอื่นต้องหักหลบกะทันหันจนเกิดอุบัติเหตุตามมา
ในขณะที่ขับรถตอนกลางคืน ไฟสูงจะช่วยให้มองเห็นได้ไกลก็จริง แต่หากใช้ในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น เปิดขณะมีรถสวนมา หรือใช้ขับตามหลังคันอื่นอย่างใกล้ชิด แสงไฟจะรบกวนสายตาผู้อื่น และเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอุบัติเหตุโดยไม่จำเป็น
เสียงแตรมีไว้เพื่อเตือนหรือป้องกันอุบัติเหตุ แต่ในชีวิตจริง หลายคนใช้เพื่อระบายอารมณ์ โวยวาย หรือเร่งเร้าให้คันหน้าไปเร็วขึ้น พฤติกรรมแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้การจราจรดีขึ้น แถมยังทำให้สถานการณ์ตึงเครียด และก่อความขัดแย้งบนท้องถนน
ขับจี้ท้ายอาจทำให้ “เร็วทันใจ” แต่หากรถคันหน้าหยุดกระทันหัน โอกาสเบรกไม่ทันและชนท้ายก็สูงมาก การเว้นระยะห่างอย่างเหมาะสม (ตามกฎทั่วไปคืออย่างน้อย 2-3 วินาที) จะช่วยให้มีเวลาเพียงพอในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน
แม้จะเป็นกฎพื้นฐาน แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากที่ละเลย โดยเฉพาะผู้โดยสารตอนหลัง การไม่คาดเข็มขัดนิรภัยไม่เพียงแต่ผิดกฎหมาย แต่ยังเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือบาดเจ็บรุนแรง หากเกิดอุบัติเหตุ แม้จะเป็นเหตุเล็กน้อยก็ตาม
การขับรถอย่างมีวินัยและความรับผิดชอบ ไม่ได้หมายถึงการขับรถเก่งหรือเร็ว แต่คือการรู้จัก “ควบคุมตัวเอง” บนท้องถนน หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง และมีน้ำใจต่อผู้ใช้ทางร่วมกัน เพราะเมื่อเราทุกคนขับรถอย่างมีสติ และเคารพกฎจราจรอย่างแท้จริง อุบัติเหตุจำนวนมากที่เกิดขึ้นในแต่ละวันก็สามารถลดลงได้ และที่สำคัญที่สุด เราจะได้กลับบ้านอย่างปลอดภัยทุกวัน