ถึงจะผ่านงานใหญ่อย่าง มอเตอร์โชว์กันไปแล้ว แต่ยังมีหลายคนที่ยังอยากได้รถยนต์อยู่ เพราะโปรโมชั่นมันยังไม่จบในงาน ยาวไปถึงสิ้นเดือน แถมยั่วใจซะเหลือเกิน ถึงกับตั้งคำถามกับตัวเองว่า อยากจะซื้อรถยนต์ไว้ใช้สักคัน ต้องทำอย่างไรบ้าง? อย่างแรกก็ต้องมีตังค์ก่อน จะซื้อรถอะไร? แบบไหน? เป็นรถป้ายแดงหรือมือสอง? มีงบอยู่เท่าไหร่? ฯลฯ และสิ่งที่จะแนะนำกัน ก็คือ
ทำไมถึงต้องซื้อรถ?
เป็นสิ่งแรกที่จะต้องคิดให้ได้ก่อนว่า “จะซื้อรถไปเพื่ออะไร?” คำถามนี้อาจจะสั้นนะ แต่สามารถตอบได้เป็นสิบเป็นร้อยคำตอบเลยก็ว่าได้ แต่คำตอบยอดฮิตติดหูที่ได้ยินซะมากกว่า 80% คือ มีความจำเป็นต้องซื้อรถ แน่ล่ะ! และความจำเป็นที่ว่านั่นน่ะ คืออะไร? บ้านไกลจากที่ทำงานมากต้องซื้อรถ หรือต้องส่งลูกไปโรงเรียน หรือภรรยาตั้งท้องลูกคนแรกเลยอยากซื้อรถ จะได้ขับรถส่งภรรยาไปทำงาน หรือไม่ก็เห็นเพื่อนๆ หรือคนแถวบ้านเขามีรถส่วนตัวไว้ใช้กันทั้งนั้น ถ้าเราไม่ซื้อรถมาไว้เป็นเฟอร์นิเจอร์ประดับบ้านบ้าง เดี๋ยวเค้าจะหาว่า “ไม่มีตังค์อะสิ!..ถึงได้ไม่ซื้อ” แต่เชื่อเถอะ สำหรับคนไทยเราลองได้ตั้งใจจะซื้อแล้ว ต่อให้ไม่มีเหตุผลก็จะซื้อ ซื้อซะอย่างแล้วใครจะทำไม? จริงมั้ย?
ตังค์!…น่ะมีมั้ย?
เมื่อตัดสินใจที่จะซื้อรถยนต์แน่นอนแล้ว ถ้าใครมาห้ามต้องเห็นดีกันแน่ ก็ต้องสำรวจเงินในบัญชีธนาคารดูว่า มีสตางค์มากพอที่จะซื้อหรือไม่? ซึ่งในปัจจุบันการซื้อหารถยนต์มาใช้สักคันไม่ใช่เรื่องยากเย็นนัก ขอเพียงแค่มีเงินดาวน์สักก้อน ค่าประกัน ค่าธรรมเนียมไฟแนนซ์ กับค่าจดทะเบียนอีกเล็กน้อย หรือไม่มีเงินดาวน์เลย ก็ยังถอยรถออกมาขับได้สบาย แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่แค่นั้น รถป้ายแดงบางคันใช้เงินเพียงไม่กี่หมื่นบาทก็สามารถออกรถได้แล้ว แต่เวลาผ่อนหรือส่งค่างวดให้บริษัทไฟแนนซ์ล่ะ…มีตังค์ส่งรึเปล่า??
เพราะฉะนั้นถ้าใครจะซื้อรถ ไม่ว่าจะรถใหม่รถเก่าป้ายแดงหรือป้ายดำ อย่าลืมสำรวจรายได้ด้วยว่า เหลือพอที่จะส่งค่างวดรถหรือไม่ ไม่ใช่มีรายได้เดือนละหมื่นกว่าบาท อยากซื้อรถป้ายแดงราคาร่วมล้านมาขับ เอาเงินออมไปจ่ายค่าดาวน์มาแล้วจนเกลี้ยงกระเป๋า ยังต้องส่งรถอีกเดือนนึง 2 หมื่นบาท ยังไม่รวมค่าน้ำมัน ค่าใช้จ่ายจุกจิกอื่น ๆ แค่เรื่องรถอย่างเดียว เดือน ๆ นึงก็น่าจะเลย 2 หมื่นไปแล้ว ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายส่วนตัวอีกจิปาถะ แรก ๆ อาจจะหาเงินจากส่วนโน้นมาปะส่วนนี้ เจียดตรงนี้ไปปะตรงนั้น หมุนไปหมุนมากลับกลายเป็นพอกหนี้ขึ้นมาอีกหลายบาท คราวนี้ล่ะ!..หนี้ท่วมไปกันใหญ่ เพื่อไม่ให้เป็นแบบนี้ก็ขอให้ตัดใจซะเถอะ หาซื้อรถที่เหมาะสมกับรายได้เรา ไปช้า ๆ ได้ขับรถนาน ๆ ดีกว่าจึ้งแป๊บเดียวรถถูกยึดไปซะแล้ว บ้งไม่เป็นท่า
เลือกรถให้เหมาะกับตัวเอง
เมื่อเตรียมงบประมาณในการซื้อรถไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็ต้องรู้ตัวเองแล้วว่า รายได้พอที่จะซื้อรถแบบไหนได้ รถใหม่ป้ายแดงหรือรถมือสอง แต่หลายคนก็ยังคิดไม่ตกว่าจะเลือกซื้อรถประเภทไหนดี รถเก๋ง รถกระบะ หรือรถอเนกประสงค์ หรือออฟโรดก็ดีนะ หรือจะเป็นรถแวน MPV หรือรถยนต์ไฟฟ้า ก็น่าใช้ แต่เอ…แล้วจะเลือกยังไงดีล่ะ? จะเลือกตามใจชอบ หรือเลือกตามการใช้งานดีล่ะเนี่ย
แน่นอนละว่ากว่า 80% มักเลือกซื้อรถตามใจชอบของตนเองทั้งนั้น บางคนเลือกซื้อรถ SUV ขับเคลื่อน 4 ล้อคันเบ้อเริ่มเทิ่ม ทั้งที่เป็นหญิงโสดตัวเล็กนิดเดียว แถมร้อยวันพันปียังไม่เคยขับรถไปไกลกว่าเขตปริมณฑลของกรุงเทพฯเลย แบบนี้ถ้าใจชอบแถมเงินเหลือเฟือ มีปัญญาซื้อก็ตามสบาย…ไม่ว่ากัน แต่ถ้ามีกำลังทรัพย์จำกัด และจำเป็นต้องซื้อรถจริง ๆ เพื่อจุดประสงค์อะไรก็ตามแต่ ขอให้เลือกรถที่เหมาะกับการใช้งานไว้ก่อน
ไม่จำเป็นว่าเพื่อนในก๊วนเดียวกันขับรถปิกอัพกันหมด เลยทำให้เราซื้อรถเก๋งมาใช้บ้างไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ก็เปลี่ยนก๊วนได้แล้ว โต ๆ กันแล้วมัวยึดติดเรื่องไม่เป็นเรื่องแค่นี้ ก็คบไว้เป็นเพื่อนห่างๆ ละกัน อย่าได้คบไว้เพื่อนตายเลย บางคนบอกว่าซื้อรถปิกอัพคุ้มกว่ารถเก๋ง เพราะสามารถใช้งานได้หลายประเภทกว่า ใช้งานแบบรถเก๋งก็ได้ ใช้ขนของก็ได้ หรือจะใช้เป็นพาหนะประกอบอาชีพก็ได้ เรื่องนี้ก็จริง
แต่ถ้าทำงานบริษัทมีภรรยา 2 เง้อ! ไม่ใช่ละ ภรรยาและลูกไม่เกิน 2 และไม่มีเวลาพอที่จะหารายได้เสริม จากการใช้รถที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น แถมที่บ้านยังเป็นทาวเฮ้าส์ โรงจอดรถสั้นเนื้อที่จำกัด แบบนี้ว่าเลือกซื้อรถเก๋งคันเล็ก ๆ มาใช้ดีกว่า เพราะถ้าซื้อปิกอัพมาใช้ ราคาอาจจะไม่แพงมากนัก แถมค่าน้ำมันยังถูกอีก จะรถยนต์ไฟฟ้าก็แล้วแต่ชอบใจ แต่ซื้อมาแล้วต้องจอดนอกรั้วบ้าน แบบนี้ก็ไม่ดีนะ แทนที่จะนอนหลับสบายยามค่ำคืน กลับต้องนอนสะดุ้งเพราะกลัวว่าจะคนขโมยรถ
ดูหลายๆ ที่แล้วค่อยตัดสินใจ
สำหรับรถใหม่ป้ายแดงในปัจจุบัน มักจะตั้งราคาขายไว้เท่ากันเกือบทุกโชว์รูม บางแบรนด์ขายราคาเดียวกันทั่วประเทศ อันนี้ไปซื้อที่ไหนก็ได้ ส่วนแบรนด์อื่นๆ ก็ควรจะเลือกดูหลาย ๆ โชว์รูมหน่อย เพราะถึงราคารถจะเท่ากัน แต่ของแถมประเภทของแต่งเล็ก ๆ น้อย ๆ มักจะต่างกัน บางโชว์รูมขายเฉพาะตัวรถเพียว ๆ ไม่มีของแถม แต่ยื่นข้อเสนอว่าถ้าออกรถที่นี่ได้รถเร็วกว่าที่อื่น บางโชว์รูมก็ใช้วิธีดึงดูดลูกค้าด้วยของแถมจนพอใจ แต่อาจจะขอเวลาปล่อยรถช้าหน่อย อย่าว่ากันนะ อะไรเทือกๆ นี้
ส่วนรถมือสองจะอีกแนวนึง รถประเภทนี้ขอให้ดูหลายๆ เต็นท์รถ ยิ่งมากคันยิ่งดี เพราะชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า “รถมือสอง” ซึ่งเป็นรถที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว จะช้ำมากช้ำน้อยก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของเดิมของแต่ละคัน ว่าใช้งานกันมาสาหัสขนาดไหน ไปเจอคันที่เจ้าของทนุถนอมใช้อย่างดี ก็ถือว่าเป็นโชคดีไป แต่ถ้าไปเจอพวกหวานซ่อนเปรี้ยว รถหมก ชนิดว่าเจ้าของเดิมใช้ไม่ยั้ง ขับไปลุยมาทุกหนทุกแห่ง พอมาจับวางในเต็นท์ก็ถูกตกแต่งกลบรอยเก่าซะแทบมองไม่เห็น เราซื้อไปใช้ได้แป๊บเดียว เดี๋ยวตรงนั้นพัง เดี๋ยวตรงนี้แตก เดี๋ยวตรงนู้นแยก เครียดขึ้นสมอง พาลพาให้ลมจับไปอีก เพราะฉะนั้นจะซื้อรถให้ดี ต้องดูหลายแห่งไว้ก่อน เหนื่อยทีแรกเอาหน่อย แต่โล่งใจทีหลังดีกว่า
เลือกรถที่ค่าดูแลไม่แพง
คนที่มีสตางค์เยอะๆ คงไม่ต้องสนใจตรงนี้มากนัก เพราะมีตังค์ซื้อรถแพงๆ มาใช้ เวลาซ่อมจะแพงไปหน่อยก็ชิลล์ๆ แต่สำหรับที่หาเช้ากินค่ำอย่างเราๆ เวลาจะซื้อรถมาใช้ก็ต้องพิจารณา เรื่องค่าอะไหล่และค่าซ่อมบำรุงไว้ เพราะหากมีทุนจำกัด แล้วเลือกใช้รถที่มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงสูง ๆ อาจจะทำให้เครียดได้ รถทุกคันไม่ว่าจะเก่าหรือใหม่ รถญี่ปุ่นหรือยุโรป รถแพงหรือรถราคาถูก เมื่อใช้ ๆ ไปก็ต้องมีค่าซ่อมบำรุงทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าซื้อรถราคาหลักล้านมาขับแล้ว ไม่ต้องซ่อมไม่ต้องเปลี่ยนอะไหล่ซะเมื่อไหร่ ทุกคันถึงเวลาต้องเข้าอู่ซ่อมหมด ยกเว้นรถที่ขายไม่ได้ ต้องจอดแห้งตายคาโชว์รูมแบบนั้นก็ว่ากันอีกเรื่อง
ดังนั้นเวลาจะซื้อรถ ควรมองต่อไปในอนาคตด้วยนะว่า รถรุ่นนี้ยี่ห้อนี้ ค่าอะไหล่ ค่าซ่อมโหดหรือเปล่า? ถ้ามีประวัติโชกโชนว่า ค่าซ่อมก็โหดค่าอะไหล่ก็แพงมหาโหด แบบนี้ก็ควรจะถอยดีกว่า
และนี่ก็เป็นเพียงคำแนะนำไม่กี่ข้อ แต่ก็คิดว่ามีเหตุผลอยู่ไม่น้อย ใครที่จะซื้อรถ ก็ลองเอาไปคิดกันดูได้นะ