BYD ขอบคุณคนไทย ต้อนรับอบอุ่น ปีนี้รุกตลาด PHEV และเปิดรถอีก 3 รุ่น
ทีมงาน 34AUTO ได้มีโอกาสพิเศษในการสัมภาษณ์กับคุณหลิว เสวี่ยเลี่ยง ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก BYD และคุณเบนสัน เค่อ ผู้จัดการทั่วไปของ BYD ประเทศไทย ที่สำนักงานใหญ่ BYD ในเมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน การสนทนาครั้งนี้เผยให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ของ BYD ในการขยายตลาดยานยนต์พลังงานใหม่ในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ความสำเร็จและการขอบคุณต่อผู้บริโภคชาวไทย
คุณหลิวได้แสดงความขอบคุณต่อผู้บริโภคชาวไทยที่ให้การสนับสนุน BYD ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา โดยได้มีการเน้นย้ำว่า BYD ได้ปฏิบัติตามสัญญาที่ให้ไว้ตั้งแต่วันแรกที่เริ่มต้นเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยตั้งแต่วันแรกได้อย่างครบถ้วน ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพสูงที่ส่งต่อผู้บริโภคชาวไทย
การขยายไลน์อัพในประเทศไทย
ปัจจุบั BYD มีรถยนต์ 6 รุ่นและ DENZA 1 รุ่นที่ทำตลาดในประเทศไทย ซึ่ง BYD ก็ได้มีแผนที่จะเปิดตัวรถยนต์เพิ่มเติมเพื่อให้ครบ 10 รุ่นภายในปี 2568 รวมถึงเป็นแบรนด์ DENZA อีก 1 รุ่น เพื่อรองรับความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคชาวไทย
คำถามเรื่องการจัดการอะไหล่
เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่น BYD ได้จัดตั้งคลังอะไหล่บนพื้นที่ 18,000 ตารางเมตร มีมูลค่าอะไหล่สำรองสูงถึง 70 ล้านหยวน หรือประมาณ 350 ล้านบาท จึงเชื่อมั่นได้ว่าจะเพียงพอต่อการรองรับกับเจ้าของรถ BYD ได้อย่างไม่มีปัญหา แม้จะมีแผนการเปิดตัวรถให้ครบ 10 รุ่นในปีนี้ก็ตาม นอกจากนี้ ในปัจจุบัน BYD ยังมีโชว์รูมทั่วประเทศกว่า 143 แห่ง และ โชว์รูม DENZA อีก 10 แห่ง รวมเป็น 153 แห่ง กระจายอยู่ใน 66 จังหวัดของประเทศไทย โดยมี 130 แห่งที่สามารถรองรับบริการหลังการขายได้ และยังได้มีการตั้งเป้าที่จะขยายจำนวนโชว์รูมให้ครบทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศภายในปีนี้
การบุกตลาด PHEV และการสนับสนุนจากรัฐบาล
BYD จะเริ่มมุ่งเน้นการทำตลาดรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ในประเทศไทยให้มากขึ้น โดยมองว่ารถยนต์พลังงานใหม่หรือ NEV ที่ใช้เรียกในประเทศจีน จะสามารถแก้ไขปัญหาที่รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ไม่สามารถตอบโจทย์ได้ทั้งหมด เมื่อเร็ว ๆ นี้กระทรวงการคลังได้เข้าเยี่ยมชมโรงงานบีวายดีที่ จ.ระยอง และยังมีโอกาสต้อนรับกระทรวงอุตสาหกรรมประเทศไทยที่ได้เยี่ยมชมและรับฟังแนวคิดเกี่ยวกับรถยนต์พลังงานใหม่ ณ สำนักงานใหญ่แห่งนี้ในประเทศจีน ซึ่งหลังจากได้แลกเปลี่ยนแนวคิด และแนวทาง แสดงให้เห็นความเป็นไปในทางบวกจากภาครัฐ ซึ่งอาจนำไปสู่มาตรการส่งเสริมในอนาคต
อย่างไรก็ตาม BYD ไม่ได้หวังผลจากการสนับสนุนของรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่ทาง BYD มุ่งเน้นให้ความสำคัญต่อการพัฒนารถยนต์เพื่อที่จะตอบโจทย์และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากที่สุด
นวัตกรรมเทคโนโลยีชาร์จเร็ว
BYD ได้เปิดตัวเทคโนโลยีชาร์จเร็วที่สามารถชาร์จไฟเพียง 2 วินาทีได้ระยะวิ่ง 1 กิโลเมตร และหากชาร์จเพียง 5 นาทีจะได้ระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร เทคโนโลยีนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ทำให้การชาร์จไฟรวดเร็วเทียบเท่ากับการเติมน้ำมัน และที่สำคัญ BYD คาดหวังจะนำเทคโลยีนี้ติดตั้งในรถยนต์ทุกรุ่นในอนาคต ส่วนจะมีรุ่นไหนที่จำหน่ายในไทยนั้น ก็ต้องคำนึงถึงโครงสร้างพื้นฐานของไทยในอนาคตว่าสามารถรองรับเทคโนโลยีนี้ได้มากน้อยแค่ไหน เหมาะสมต่อการใช้งานหรือไม่อย่างไร
ข่าวการจับมือกับ Tesla ล้มรถยนต์สันดาป?
เกี่ยวกับข่าวการร่วมมือกับ Tesla เพื่อยุติการใช้รถยนต์สันดาปให้หมดไปในอนาคต BYD ยืนยันว่าไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด มีเพียงความร่วมมือในอดีตที่ทาง BYD มีหน้าที่ผลิตและส่งมอบแบตเตอรี่ให้ทาง Tesla เพียงเท่านั้น ซึ่ง BYD ยังเชื่อว่ารถยนต์สันดาปจะหมดไปเองในอนาคตอย่างแน่นอน
การตั้งโรงงานบีวายดีในอินโดนีเซียส่งผลกับไทยอย่างไร
แม้ว่า BYD จะตั้งโรงงานในอินโดนีเซีย ขอเน้นย้ำว่าสิ่งนี้จะไม่กระทบต่อความสำคัญที่มีต่อประเทศไทย BYD มองว่าอินโดนีเซียและประเทศไทยเป็นตลาดที่แตกต่างกัน โดยในอินโดนีเซียมีกลุ่มรถ MPV ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง และยังเป็นฐานการผลิตรถยนต์กลุ่มนี้ทั้งใช้ภายในและส่งออกสู่ภูมิภาค รวมถึงเล็งเห็นโอกาสในการเติบโตของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากถือเป็นช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคของรถพลังงานไฟฟ้าอีกด้วย
สรุป
การได้มีโอกาสพูดคุยกับ 2 ผู้บริหารใหญ่จาก BYD ในครั้งนี้เผยให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของที่มีต่อตลาดประเทศไทย และความตั้งใจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างรอบด้านเพื่อตอบโจทย์ต่อความต้องการอย่างหลากหลาย พร้อมทั้งการนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง และแม้จากการประเมินตลาดรถยนต์ไทยเมื่อสามปีก่อน จะถือว่าผิดไปจากที่คาดการณ์ไว้ เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันไม่ได้เป็นไปตามที่คาด อย่างไรก็ตาม BYD ยังมีความเชื่อมั่นที่จะดำเนินงานตามเป้าหมาย แม้ว่าจะต้องมีการปรับเปลี่ยนนโยบายตามสถานการณ์อยู่บ้าง อาทิ การมุ่งเน้นการส่งออกจากโรงงานในประเทศไทยให้มากขึ้น เป็นต้น
