เวลาขับรถไปไหนมาไหน เชื่อว่าเพื่อน ๆ หลายคนคงเคยเจอเหตุการณ์ชวนยิ้ม หรือบางทีก็ฮาจนเผลอหัวเราะออกมา ไม่ใช่เพราะรถติดหรือใครตัดหน้า...แต่เพราะ “พฤติกรรมของคนใช้รถ” นี่แหละ ที่บางทีก็สร้างสีสันให้ถนนดูสนุกขึ้นทันตา!
วันนี้เราขอรวบรวมพฤติกรรมยอดฮิต ที่พบเห็นได้บ่อยบนท้องถนน รับรองว่าถ้าไม่เคยเห็น ก็อาจจะเคยทำเองแบบไม่รู้ตัว! ก็ได้ คุณผู้อ่าน มีอะไรอยากเสริม แชร์ความคิดเห็นกันสนุกๆ ได้เลย
ติดสติ๊กเกอร์ข้อความหลังรถแบบฮาๆ คือการปล่อยของ ปล่อยพลังความกวน ความเกรียน หรือบางทีก็เป็นการบ่นชีวิตผ่านท้ายรถให้โลกได้รับรู้ในจังหวะที่ใครสักคนขับตามมาแล้วต้องอ่านมันอย่างช่วยไม่ได้ มันคือพื้นที่เล็กๆ ที่เจ้าของรถได้พูดในสิ่งที่อยากพูดโดยไม่ต้องเผชิญหน้ากับใคร เหมือนป้ายผ้าเคลื่อนที่ที่ขับวนอยู่ในเมืองแบบไม่มีเวที แต่ก็ชนะใจคนดูได้เรื่อยๆ
บางคนติดเพื่อระบายอารมณ์ เช่น “ความเร็วไม่ใช่ปัญหา... แฟนโทรตามต่างหาก” หรือ “รีบไปไหน บนโลกนี้ไม่มีใครรอดตาย” บางคนติดแบบมุกจีบสาว “โสดจริง อะไรจริง มีทะเบียนบ้านเป็นหลักแหล่ง” หรือ “หน้ารถคือยานพาหนะ หลังรถคือยานอนหลับ ถ้าจะตามก็หลับซะ”
บางข้อความเหมือนสวดมนต์ให้คนขับหลังใจเย็นลง เช่น “รถคันนี้ติดปัญหาชีวิตหลายด้าน โปรดใช้ความเมตตา” หรือ “ชีวิตมันเศร้า เบาได้เบา” หรือสายแฟนคลับแบบ “เจอคนขับไม่หล่อ โปรดเข้าใจว่าเขาชอบแบมแบม”
บางสติ๊กเกอร์ไม่ตลก แต่ฮาเพราะความ “จริง” เช่น “คันนี้พ่วงเมียมาด้วย กรุณาอย่าแซงบ่อย” หรือ “รถไม่แรง แต่อย่าแซวเดี๋ยวแม่รู้” หรือแม้แต่แบบบ้านๆ “เงินเดือน 18,000 ผ่อนรถ 15,000 ถามว่าเหลือมั้ย? เหลืออด!”
การติดสติ๊กเกอร์พวกนี้กลายเป็นวัฒนธรรมย่อยอย่างหนึ่งของคนใช้รถเมืองไทย ที่บางทีไม่ต้องเท่ ไม่ต้องหรู แต่ขอให้กวน ให้คนขับหลังขำ และบางครั้งก็กลายเป็นการบอกตัวตนของเจ้าของรถแบบสั้นๆ ได้ดีกว่าโปรไฟล์โซเชียลซะอีก
สกิลจอดรถขั้นเทพแบบฮาๆ คือระดับความสามารถในการจอดรถที่เกินคำว่า “ชำนาญ” ไปไกล กลายเป็นตำนานประจำลานจอด บางทีก็เทพจนต้องยกมือไหว้ บางครั้งก็เทพจนเทพเจ้าจริงๆ ยังต้องขอหลบมุมไปตั้งหลักก่อน เพราะมนุษย์คนนี้ “จอดเหนือกฎธรรมชาติ”
เริ่มจากการจอดที่ใช้พื้นที่น้อยกว่าขนาดรถ คือรถยาวเมตรครึ่ง แต่เบียดตัวเองลงไปในช่องจอดที่กะว่ามีไว้ให้สเก็ตบอร์ดเลื่อนได้พอดี บางคันจอดข้างกำแพงแบบแนบชิดราวกับตัวรถมีพลังแม่เหล็กดูดติดพนัง หรือจอดแบบ “ขอบซ้ายชิดฟุตบาท ขอบขวาเฉียดกระจกอีกคัน 0.5 มิล” ทำเอาคนผ่านไปมาอยากห้อยพวงมาลัยให้เป็นรางวัล
บางคนจอดแบบเฉียง 45 องศา ทั้งที่ลานนั้นเขาขีดเส้นขนาน เป็นการจอดแบบไม่สนโลก เหมือนจะบอกว่า “เราขับอยู่ในมิติที่กฎฟิสิกส์ไม่เกี่ยวข้อง” บางทีรถเขาจอดเสร็จ เราเดินวนอยู่รอบๆ ยังงงว่า “เออ... เขาเข้าไปได้ยังไงวะ?”
และอีกสายคือ “จอดแบบเก่งแต่กวน” เช่น จอดขวางรถคนอื่นแล้วเขียนกระดาษทิ้งไว้ว่า “ถ้าจะออกโทรเบอร์นี้...แต่ต้องขอรหัสผ่านก่อนนะ” หรือจอดริมถนนใกล้ร้านอาหารแล้วแขวนป้าย “ที่จอดประจำของเทพเจ้าแห่งการกินหมูกระทะ” ไว้หน้ากระจก
บางสกิลก็คือการ “จอดให้คนอื่นฮา” เช่น เขียนหลังรถว่า “หากคุณเห็นว่ารถเราจอดแปลกๆ โปรดเข้าใจว่าเราฝึกฮวงจุ้ย” หรือ “ไม่ได้จอดเบี้ยว แค่ต้องการความสมดุลของจักรวาล”
บางคนไม่ได้เทพแค่ตอนจอด แต่เทพตอน “ปีนฟุตบาท” หรือ “ขึ้นบล็อกปูน” แบบที่ดูแล้วคิดว่ารถอาจมีวิญญาณนักปีนเขาสิงอยู่ในตัว ขนาดแมวดำยังต้องกระโดดหลบ
สกิลจอดขั้นเทพแบบฮาๆ จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความแม่น แต่เป็นเรื่องของ “พลังงานบางอย่าง” ที่ผสมระหว่างความกล้า ความมั่นใจ และความเป็นศิลปินผู้ไม่ยึดติดกับเส้นตีขาวบนพื้นดิน เพราะสำหรับบางคน “การจอดคือศิลปะ” และรถก็คือพู่กันบนผืนลานจอดนั่นเอง
รถ คือห้องเก็บของเคลื่อนที่อย่างแท้จริง เพราะมันไม่ได้มีแค่ฟังก์ชันการพาเราไปไหนมาไหนเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นพื้นที่ส่วนตัวที่เต็มไปด้วย “ของที่เราใช้ชีวิตอยู่ด้วย” แบบไม่รู้ตัว บางคนนั่งรถมากกว่านั่งในบ้าน บางคันมีของเยอะกว่าตู้เสื้อผ้าอีก และมันก็เริ่มกลายร่างเป็น “บ้านหลังเล็กบนล้อ” ไปโดยปริยาย
เปิดท้ายรถมาจะเจอกล่องเก็บของพับได้ รองเท้าคู่สำรอง กระเป๋าผ้า ถุงซุปเปอร์ ชุดเครื่องมือฉุกเฉิน อุปกรณ์ปั๊มลม หรือถ้าเป็นสายลุยก็อาจมีเต็นท์ ผ้าปูปิกนิก เก้าอี้สนามพับได้ บางคันยังมีโต๊ะพับไว้กินข้าวที่จอดรถริมทางได้เลย
เบาะหลังของรถหลายคันกลายเป็น “โกดังส่วนตัว” มีเสื้อผ้าสำรอง ร่ม หมวก ผ้าห่ม กระดาษทิชชู่ ขนมขบเคี้ยว แอลกอฮอล์เจล หรือลังน้ำดื่ม ครบกว่ามินิมาร์ทเคลื่อนที่ด้วยซ้ำ ถ้าเป็นคุณพ่อคุณแม่ เบาะหลังอาจเต็มไปด้วยของเล่นลูก ผ้าเปียก ขวดนม ยางกัด ไปจนถึงผ้าอ้อมสำรองหนึ่งแพ็ก
ในคอนโซลหน้า ที่ดูเหมือนเล็กๆ พอเปิดออกมาก็เหมือนกระเป๋าด่วนอเนกประสงค์ มีทั้งยาดม ลูกอม ยาพารา สลิปน้ำมัน หัวปลั๊กชาร์จ แผ่นกันแดด แว่นกันแดด เอกสารรถ ใบสั่งที่ยังไม่ได้จ่าย และเหรียญหล่นๆ อยู่ก้นกล่อง
แม้แต่ใต้เบาะยังกลายเป็นที่ซ่อนของลับ ของที่ “ไม่รู้ว่าอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่” หรือขวดน้ำวางลืมไว้ตั้งแต่ฤดูร้อนที่แล้ว ซึ่งกลายเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ส่วนตัวของเจ้าของรถแบบที่ตัวเองยังงงว่ามาได้ยังไง
รถจึงไม่ใช่แค่ยานพาหนะ แต่มันกลายเป็นส่วนต่อขยายของชีวิต เป็นเหมือนห้องเล็กๆ ที่มีความทรงจำ ของใช้ ความจำเป็น และบางครั้งคือความวุ่นวายปนกันอยู่ในพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรนั้นเอง
ใครว่าบ้านมีแค่ที่อยู่กับดิน รถก็คือบ้านบนล้อ สำหรับหลายคนที่อยู่ในนั้นแทบทุกวัน และบางครั้ง...ก็รู้สึกปลอดภัยสบายใจกว่าในห้องนอนด้วยซ้ำ
เปิดคอนเสิร์ตเคลื่อนที่บนรถ คือการแปลงร่างรถธรรมดาๆ ให้กลายเป็นเวทีแสดงดนตรีขนาดย่อมในขณะที่ยังเคลื่อนที่อยู่บนถนน ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลง เปิดลำโพงดังๆ ร้องคลอตามจนคนข้างรถต้องหันมามอง หรือแม้กระทั่งคาร์โอเกะในรถที่มีไมค์แบบไร้สายติดไว้พร้อมสรรพ บางคันมีไฟ LED กระพริบเหมือนผับเคลื่อนที่ เรียกว่าถ้ารถคันนั้นเปิดประตูเมื่อไหร่ แสงแฟลชกับบีทเพลงต้องกระแทกหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คนขับหลายคนกลายเป็นนักร้องนำโดยไม่ตั้งใจ มือหนึ่งจับพวงมาลัย อีกมือกดเปลี่ยนเพลง ตาอาจจะจ้องถนน แต่ใจไปกับเนื้อเพลงของวงโปรดเรียบร้อยแล้ว ผู้โดยสารก็คือแดนเซอร์จำเป็น บางคันมีทีมประจำเลย ทั้งนักร้อง นักประสานเสียง ดีเจเปิดบีท และมือกลองที่เคาะขวดน้ำอยู่เบาะหลัง
ถ้าติดไฟแอมเบียนต์ในรถด้วย ก็ยิ่งเสริมฟีลให้เหมือนกำลังอยู่ในมินิคอนเสิร์ตกลางคืน บางคนขับบนทางด่วนตอนตีสอง เปิดเพลง EDM จนสะพานสะเทือน ประหนึ่งกำลังขับผ่าน Tomorrowland เวอร์ชันบางนา
เปิดคอนเสิร์ตเคลื่อนที่ไม่ได้จำกัดแค่เสียงเพลง บางคนใส่ความอินจัดด้วยการร้องท่อนฮุคเต็มคอ ทำหน้าเหมือนอยู่บนเวที The Voice หรือหันไปซ้อมเต้นตามท่าแบบ T-pop บนเบาะหน้ากับเพื่อนอีกคนในจังหวะรถติด ไฟแดง 120 วินาทีก็ไม่เหงาอีกต่อไป
บางคันไม่ได้ร้อง แต่โชว์ลำโพงหลังรถ เปิดฝาท้ายแล้วเสียงเบสกระแทกเหมือนมี After Party ตามท้ายรถบรรทุก พวกนี้จัดอยู่ในสาย “DJ ข้างถนน” ที่บางทีอาจไม่ร้อง แต่ทำให้คนทั้งแยกโยกหัวตามโดยไม่รู้ตัว
มันคือความสุขเล็กๆ ระหว่างทาง ความมันส์ที่ไม่ต้องจ่ายบัตรเข้าชม แค่เติมน้ำมัน กับเลือกเพลงถูกจังหวะ ก็กลายเป็นศิลปินทัวร์คอนเสิร์ตได้ทุกเช้าก่อนไปทำงาน บางทีขับไปยังไม่ทันถึงออฟฟิศ แต่ใจไปถึงอิมแพ็คแล้วเรียบร้อย
สุดท้าย...ไม่ว่าเสียงจะเพี้ยน จะอิน จะล้น จะลั่น มันก็เป็นเวทีที่เราสร้างเองจากพื้นที่ที่เราอยู่ทุกวัน และถ้ามีคนข้างรถหันมายิ้มให้หรือยกนิ้วโป้งให้ ก็เท่ากับว่าคุณเพิ่งได้แฟนเพลงเพิ่มอีกหนึ่งคนบนถนนใหญ่
สายมูเต็มพิกัดในรถยนต์คือการแต่งรถหรือจัดวางสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ภายในรถเพื่อเสริมดวง เสริมโชคลาภ ป้องกันภัย หรือสร้างความมั่นใจในการเดินทาง โดยเฉพาะในกลุ่มคนขับรถบ่อย ขับรับจ้าง หรือเดินทางไกลเป็นประจำ หลายคนเชื่อว่าการมี “ของดี” ติดรถไว้จะช่วยให้ปลอดภัย แคล้วคลาด และเฮงๆ ปังๆ ตลอดทาง ในรถของสายมูแบบจัดเต็ม จะมีสิ่งเหล่านี้ให้เห็นบ่อยๆ ตั้งแต่หน้าคอนโซลยันพวงมาลัยและหลังเบาะ เช่น พระเครื่ององค์เล็กๆ ห้อยหน้ารถ ผ้ายันต์แปะเพดาน พวงมาลัยดอกไม้สด องค์เทพจีนหรือฮินดู ลูกแก้วสารพัดนึก สติ๊กเกอร์ยันต์ ถุงสะเดาะเคราะห์ รถสายมูไม่ใช่แค่ของแต่ง แต่เป็นความรู้สึกที่ว่า “เราไม่ได้ขับคนเดียว มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่กับเรา” สำหรับบางคน ของพวกนี้คือพลังใจในยามที่โลกความจริงเหนื่อยเหลือเกิน
พฤติกรรมฮาๆ ของคนใช้รถมีตั้งแต่การจอดรถแบบเหนือธรรมชาติเหมือนเป็นศิลปินแนว abstract ใช้ที่จอดแบบไม่แคร์เส้นขีด ชอบแขวนป้ายหรือสติ๊กเกอร์หลังรถที่อ่านแล้วเหมือนฟังคนบ่นขำๆ กลางถนน เปิดคอนเสิร์ตเคลื่อนที่ในรถตอนรถติด ร้องเอง เต้นเอง อินเองแบบไม่สนใจใคร จัดรถให้เป็นศาลเจ้าขนาดย่อม มีทั้งพระ ทั้งยันต์ ทั้งลูกแก้วจนเหมือนขับรถพร้อมกองกำลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เก็บของในรถจนเหมือนบ้านหลังที่สอง มีทุกอย่างตั้งแต่เสื้อผ้าสำรองยันน้ำพริก พร้อมรบทุกสถานการณ์ บางคนเปิดแอร์นอนในรถเหมือนเป็นห้องพักเคลื่อนที่ หรือนั่งกินข้าวบนคอนโซลหน้ารถแบบไม่แคร์สายตาโลก ทุกอย่างมันรวมกันเป็นภาพของคนใช้รถที่ไม่ได้แค่ขับเพื่อไปไหน แต่ใช้รถเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจนกลายเป็นพื้นที่ปล่อยความฮา ความกวน และความเป็นตัวเองแบบเต็มพิกัดบนสี่ล้อที่หมุนอยู่ทุกวัน
แต่ถึงอย่างไรการขับขี่อย่างมีความสุขก็เท่ากับส่งต่อรอยยิ้ม แม้บางพฤติกรรมจะชวนให้สงสัย หรือบางทีก็ฮาเกินเบอร์ แต่ทั้งหมดนี้คือสีสันของถนนเมืองไทย ขอแค่ขับขี่อย่างปลอดภัย เคารพกฎจราจร และไม่เบียดเบียนกัน จะฮา จะมู จะจัดเต็มแค่ไหน ก็ยิ้มได้แบบไม่ดราม่า! เพราะความชอบเป็นเรื่องส่วนบุคคลให้เกียรติซึ่งกันและกันเสมอ