ลองทางไกล RIDDARA RD6 กรุงเทพฯ - สุราษฎร์ธานี ทั้งออนโรดและออฟโรด
ลองทางไกล RIDDARA RD6 เส้นทางกรุงเทพฯ - สุราษฎร์ธานี โดยทางทีมงาน 34AUTO มีโอกาสได้ทดลองขับ RD6 ทั้งสองรุ่นในรอบนี้ คือรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ และรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ ทำให้เห็นความแตกต่างกันอย่างชัดเจนมากในเรื่องของฟีลลิงการขับขี่ แม้ภายนอกจะแตกต่างกันเล็กน้อย แต่กาารขับใช้งานบอกได้เลยคนละเรื่อง
คอนเทนต์แนะนำ
สำหรับการเดินทางในรอบนี้ในช่วงขาล่องใต้ เราทำหน้าที่ประจำการใน RIDDARA RD6 รุ่น Top สุดคือตัวขับสี่ มอเตอร์คู่ แบตเตอรี่ใหญ่สุดในทุกรุ่นย่อย 86 kWh การใช้งานผ่านเส้นทางพระราม 2 ที่การจราจรหนาแน่น ทำให้ได้แสดงจุดดีของรถยนต์ไฟฟ้าออกมาแบบชัดเจน คือเรื่องความเบาของขุมพลังขณะขับเคลื่อน ความเงียบ และความนิ่ง เพราะไม่มีการสั่งไหวจากการทำงานเหมือนเครื่องยนต์ดีเซล ทำให้ภายในห้องโดยสารมีบรรยากาศที่ดี และค่อนข้างผ่อนคลายสำหรับผู้เดินทาง
หลังจากหลุดจากเส้นพระราม 2 ก็เริ่มใช้ความเร็วได้มากขึ้น ตามกฎหมายกำหนด ซึ่ง RD6 ตัวมอเตอร์คู่ ที่มีพละกำลังรวมกันทะลุ 4 ร้อยแรงม้า ทำให้การขับขี่ทางไกลไม่เหนื่อย ด้วยพละกำลังที่เหลือเฟือ ในขณะที่ช่วงล่างให้ความรู้สึกไปทาง SUV มากกว่ากระบะ ค่อนข้างไปทางนุ่มนวล โครงสร้างโมโนคอค ทำให้ตัวรถมีความสั่นสะเทือนของโครงรถน้อย ไม่มีการดีดเด้งในช่วงท้ายกระบะแบบรถกระบะทั่วไป ดังนั้นในมุมนี้ เรามองว่าช่วงล่างของ RD6 ถือว่าเหมาะกับการเป็นรถขับขี่ที่ดีทีเดียว ส่วนเรื่องน้ำหนักการบรรทุกแน่นอนว่าย่อมไม่ถึงขั้นสามารถบรรทุกหนักๆ แบบหลายตันได้ แม้จะไม่ได้ทดสอบในรอบนี้ แต่ด้วยอาการของตัวรถ คาดว่ายิ่งบรรทุกหนักมากเท่าใด การยุบตัวของระบบช่วงล่างน่าจะแบกได้ไม่ดีมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากลองขับจนถึงประจวบคีรีขันธ์ เราได้สลับมาขับในตัว มอเตอร์เดี่ยว แบตเตอรี 73 kWh ดูที่งานตกแต่งภายนอก มีจุดแตกต่างกันในรายละเอียดหลายจุด ซึ่งถ้ามองภาพรวมอาจสังเกตได้ไม่มากนัก แต่ถ้ามองทีละจุดจะพบความแตกต่างไม่น้อยเลยทีเดียว พละกำลังของรุ่นนี้ย่อมเยาว์ลงมาเหลือ 272 แรงม้า และจากการได้ขับ ก็พบว่าพละกำลังมันหายไปเยอะมากจากตัว 4WD ที่ได้ขับในตอนแรก ถ้ามีใครถามว่าเลือก ผมตอบได้แบบลังเลว่าไปตัว 2 มอเตอร์เถอะ เพราะไหนๆ จะขับกระบะไฟฟ้าแล้ว มันก็ควรเอาตัวที่พละกำลังเหมือนขับรถไฟฟ้าไปด้วยเลยดีกว่ามั้ย
แต่เชื่อหรือไม่? จากการทดสอบ ตัวขับเคลื่อน 2 ดันทะลึ่งทำความเร็วสูงสุดได้มากกว่ารุ่นขับ 4 ซะอย่างนั้น ก็คาดว่าจะมาจากน้ำหนักตัวก็อาจเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่สำหรับการขับแบบใช้งานจริง ตัวมอเตอร์เดี่ยวพละกำลังในการออกตัว หรือเร่งแซง มันสู้ตัวมอเตอร์คู่ไม่ได้เลยสักนิด
อีกจุดที่แตกต่างจนจับต้องได้ คือฟีลลิงช่วงล่าง ทางเรากลับชอบในตัว 2WD มากกว่า ซึ่งก็แปลกว่าทำไมรถที่น้ำหนักตัวน้อยกว่า กลับมีช่วงล่างที่นิ่งกว่าจนจับสัมผัสได้เลย แม้จะยังมีอุปนิสัยเดียวกัน แต่ในช่วงล่างของเจ้าคันนี้มันดันพยศน้อยกว่า นิ่ง และแน่นกว่าเสียอย่างนั้น
