เส้นเลือดสมองตีบ คืออะไร ภาวะสุดอันตรายถึงมือหมอช้าเสี่ยงพิการติดเตียงหรือเสียชีวิต เช็กอาการเด่นชัดเข้าได้กับโรค ปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรค วิธีป้องกัน
สืบเนื่องจากข่าวการป่วย โรคเส้นเลือดสมองตีบ ของ "สมรักษ์ คำสิงห์" เบื้องต้น เบส รักษ์วนีย์ คําสิงห์ ลูกสาว เปิดเผยว่า คุณพ่อถูกส่งตัวเข้าห้อง ICU จากอาการร่างกายซีกซ้ายไม่มีแรง แพทย์ทำการตรวจอย่างละเอียดพบว่า เป็นโรคเส้นเลือดสมองตีบ (ข้างขวา) ขณะนี้กำลังรักษาตัวอยู่ในห้อง ICU แพทย์ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด
สำหรับ โรคเส้นเลือดสมองตีบ เป็นอีกหนึ่งโรคภัยเงียบ ผู้ป่วยต้องสังเกตความผิดปกติของร่างกาย ยิ่งคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงด้วยแล้ว หากเกิดอาการรุนแรงฉับพลัน อาจพิการติดเตียง หรือถึงแก่ชีวิตได้
เส้นเลือดสมองตีบ หรือ โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน (Ischemic Stroke) เกิดจากหลอดเลือดในสมองอุดตันหรือตีบแคบ ส่งผลให้สมองไม่ได้รับเลือดและออกซิเจนเพียงพอ ซึ่งอาจส่งผลให้เซลล์สมองตายและเกิดความเสียหายถาวรในบางกรณี โรคนี้ถือเป็นภาวะที่อันตรายมากและเป็นสาเหตุหลักของการเป็นอัมพาตหรือเสียชีวิตได้
โรคนี้มักเกิดจากลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดสมอง ซึ่งลิ่มเลือดอาจเกิดจาก
1. ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis) : มีการสะสมของไขมันและแคลเซียมในผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง
2. ลิ่มเลือดจากหัวใจหรือหลอดเลือดขนาดใหญ่ : อาจเกิดจากภาวะหัวใจเต้นผิดปกติหรือการมีคราบไขมันเกาะในหลอดเลือด
อาการเด่นชัดและพบมากของโรคเส้นเลือดในสมองตีบ (Ischemic Stroke) มักเกิดขึ้นแบบฉับพลันและสามารถสังเกตได้ง่าย โดยมีอาการที่พบได้บ่อยดังนี้
1. ชาหรืออ่อนแรงครึ่งซีกของร่างกาย อาการชาหรืออ่อนแรงมักเกิดกับแขน ขา หรือใบหน้าด้านใดด้านหนึ่งของร่างกาย ซึ่งเป็นสัญญาณแรกเริ่มที่สำคัญ
2. พูดไม่ชัดหรือพูดไม่ได้ ผู้ป่วยอาจพูดไม่ชัด ลิ้นพันกัน หรือไม่สามารถพูดหรือเข้าใจคำพูดได้ตามปกติ
3. มองเห็นผิดปกติ มองเห็นไม่ชัด มองเห็นภาพซ้อน หรือมองไม่เห็นในบางมุมของดวงตา
4. เวียนศีรษะและเสียการทรงตัว อาจรู้สึกเวียนศีรษะ ทรงตัวไม่ได้ หรือเดินลำบาก
5. ปวดศีรษะรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุ อาการปวดศีรษะรุนแรงและเกิดขึ้นทันที เป็นอาการที่ควรระวัง เพราะอาจเป็นสัญญาณของเส้นเลือดสมองตีบหรือตัน
เพื่อให้สังเกตอาการได้รวดเร็ว สามารถใช้วิธีสังเกตแบบ FAST คือ
F (Face) : ใบหน้าเบี้ยว ยิ้มแล้วเห็นความแตกต่างของสองข้าง
A (Arms) : แขนข้างหนึ่งอ่อนแรงหรือยกแขนทั้งสองข้างแล้วข้างหนึ่งตกลง
S (Speech) : พูดไม่ชัด พูดไม่ได้ หรือลิ้นพันกัน
T (Time) : หากมีอาการข้างต้น ควรรีบพาผู้ป่วยไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
ปัจจัยเสี่ยงของ โรคเส้นเลือดในสมองตีบ (Ischemic Stroke) มีหลายประการที่ส่งผลให้เกิดภาวะหลอดเลือดตีบตัน ซึ่งสามารถแบ่งเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้และปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ ดังนี้
ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมได้
1. ความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด เพราะความดันโลหิตสูงจะทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพและเพิ่มโอกาสการตีบตัน
2. โรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงทำให้หลอดเลือดเสียหายและมีการสะสมของไขมันในหลอดเลือด
3. โรคไขมันในเลือดสูง คอเลสเตอรอลที่สูงเกินไปจะทำให้เกิดการสะสมของไขมันในหลอดเลือดและเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (Atherosclerosis)
4. การสูบบุหรี่ สารนิโคตินและสารพิษอื่นๆ จากบุหรี่ทำให้หลอดเลือดตีบแคบและทำให้เลือดมีโอกาสแข็งตัวมากขึ้น
5. การดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือด
6. โรคหัวใจ เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Atrial Fibrillation) ทำให้มีลิ่มเลือดเกิดขึ้นในหัวใจและส่งผลต่อหลอดเลือดสมองได้
7. ขาดการออกกำลังกาย ส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดไม่ดีและเพิ่มความเสี่ยงในการสะสมไขมันในหลอดเลือด
8. โรคอ้วนและน้ำหนักเกิน การมีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนเพิ่มโอกาสเกิดความดันโลหิตสูงและโรคเบาหวาน
9. ความเครียด ความเครียดที่สูงและเรื้อรังมีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
ปัจจัยเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้
1. อายุ ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น โดยเฉพาะในผู้ที่มีอายุมากกว่า 55 ปี
2. พันธุกรรมและประวัติครอบครัว หากมีประวัติคนในครอบครัวที่เคยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ความเสี่ยงของโรคนี้จะสูงขึ้น
3. เพศ เพศชายมักมีความเสี่ยงเป็นโรคนี้มากกว่าเพศหญิง แต่อัตราการเสียชีวิตของผู้หญิงจะสูงกว่า
4. ประวัติการเกิดภาวะหลอดเลือดสมองตีบซ้ำ หากเคยมีประวัติการเป็นโรคหลอดเลือดสมองมาก่อน ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นในการเกิดซ้ำโรคหัวใจ เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
การป้องกันโรคเส้นเลือดในสมองตีบ (Ischemic Stroke) สามารถทำได้โดยการดูแลสุขภาพและลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของโรค โดยมีวิธีป้องกันที่สำคัญดังนี้
1. ควบคุมความดันโลหิต รักษาระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มีประวัติความดันโลหิตสูง หมั่นตรวจวัดความดันโลหิตเป็นประจำและปรึกษาแพทย์หากความดันโลหิตสูงผิดปกติ
2. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติ เนื่องจากน้ำตาลในเลือดสูงทำให้หลอดเลือดเสียหายและเสี่ยงต่อการอุดตัน
3. ควบคุมระดับไขมันในเลือด ลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันเลว (LDL) โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืช และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง
4. เลิกสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่ทำให้หลอดเลือดเสียหายและเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือด การเลิกบุหรี่จะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมาก
5. ลดการดื่มแอลกอฮอล์ จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เหมาะสม เนื่องจากการดื่มมากเกินไปสามารถเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองและความดันโลหิตสูง
6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานดีขึ้น ลดความดันโลหิต และช่วยควบคุมน้ำหนัก ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์
7. ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โรคอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ควรรักษาน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับส่วนสูงและวัย
8. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีไฟเบอร์สูง หลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมและไขมันสูง ลดปริมาณเกลือในอาหารเพื่อลดความดันโลหิต
9. การจัดการความเครียด ความเครียดที่สูงและต่อเนื่องมีผลต่อการทำงานของหลอดเลือด การฝึกผ่อนคลาย เช่น การทำสมาธิและโยคะ สามารถช่วยลดความเครียดได้
10. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ ควรตรวจสุขภาพทุกปีเพื่อตรวจสอบความเสี่ยงต่างๆ เช่น ความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด และระดับไขมัน หากมีโรคประจำตัว ควรรับคำแนะนำและการรักษาจากแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
สมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย เผยข้อมูลว่า อุบัติการณ์โรคหลอดเลือดสมองประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มสูงมากขึ้นในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2560-2565) ปัจจุบันอุบัติการณ์โรคหลอดเลือดสมอง คือ 330.72 โรคหลอดเลือดสมองชนิดสมองขาดเลือด คือ 222.19 โรคหลอดเลือดสมองชนิดเลือดออก คือ 88.38 ต่อประชากรแสนคน อายุ ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป อัตราการรักษาด้วยยาละลายลิ่มเลือด คือ ร้อยละ 7.36 อัตราการเสียชีวิต ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ร้อยละ 10.92
รวบรวมข้อมูลจาก : สมาคมโรคหลอดเลือดสมองแห่งประเทศไทย, สมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย
Advertisement