ฝนตกในแอนตาร์กติกา สัญญาณภาวะโลกร้อนทำเพนกวินจักรพรรดิเสี่ยงสูญพันธุ์ภายในปี 2100
ฝนที่ตกในแอนตาร์กติกาไม่ได้เป็นเพียงสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวงจรป้อนกลับที่เร่งให้โลกร้อนขึ้นด้วย
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังนำภัยคุกคามใหม่มาสู่เพนกวินจักรพรรดิที่อาศัยอยู่บนคาบสมุทรแอนตาร์กติกาทางฝั่งตะวันตกของทวีป ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอุณหภูมิร้อนขึ้นเร็วเป็นอันดับ 2 ของแผ่นดินน้ำแข็ง โดยปัจจุบันมีฝนตกเฉลี่ย 50 วันต่อปี
อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสคาดการณ์ว่าภายในสิ้นศตวรรษนี้ ฝนจะมากกว่าสามเท่า!!!
ฝนทำให้ธารน้ำแข็งแตกออกหรือ "แตกยอด" ได้ง่ายขึ้นโดยทำให้แผ่นน้ำแข็งอ่อนลง ซึ่งไม่ต่างจากที่ฝนทำให้การป้องกันของเพนกวินบางชนิดอ่อนแอลง
จูเลีย ฟิงเกอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนกประจำองค์กร HX Expeditions ซึ่งเป็นองค์กรที่พานักเดินทางท่องเที่ยวไปในสถานที่ห่างไกลที่สุดบางแห่งของโลก บนเรือ เธอและนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ อธิบายผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศว่า "ลูกนกมีขนฟูนุ่มมากและมีขนอ่อนจำนวนมาก จึงป้องกันความหนาวเย็นได้ แต่ไม่สามารถกันน้ำได้เท่ากับขนของนกที่โตเต็มวัย ดังนั้นเมื่อฝนตกและฝนตกหนักขึ้น อากาศจึงหนาวขึ้น อัตราการตายของลูกนกเพนกวินก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย”
ดาวเทียมของ NASA พบว่าตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา มีพื้นที่ในแอนตาร์กติกาที่เป็นสีเขียวแทนที่จะเป็นสีขาวมากกว่าถึง 14 เท่า! เนื่องจากการที่ฝนเข้ามาแทนที่หิมะและน้ำแข็ง
นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษเพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานนี้ว่าตอนนี้อาจมีฝนตกในแอนตาร์กติกาในฤดูหนาวด้วย พวกเขาเตือนว่าสิ่งนี้จะส่งผลร้ายแรงต่อพื้นที่ที่เพนกวินอาศัยอยู่ไกลออกไป โดยทำให้ระดับน้ำทะเลทั่วโลกสูงขึ้น
ข้อสรุปจากการศึกษาเรื่อง Living with Uncertainty: Using multi-model large ensembles to assessment emperor penguin extinction risk for conservation policy ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Biological Conservation
การศึกษานี้ใช้กรอบการทำงานที่เรียกว่า Multi-Model Large Ensemble (MMLE) ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ของ WHOI เรียกกรอบการทำงานนี้ว่า การรวบรวมการจำลองระบบโลก นักวิจัยได้ผสมผสานข้อมูลประเภทต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อสร้างแบบจำลองทางนิเวศวิทยาที่แตกต่างกันสามแบบสำหรับประชากรเพนกวินจักรพรรดิ ได้แก่ การสังเกตเพนกวินแต่ละตัวอย่างละเอียดเป็นเวลาหลายทศวรรษ อนุกรมเวลาระยะยาวของจำนวนลูกนกและนกโตเต็มวัย และภาพถ่ายดาวเทียม 10 ปีซึ่งติดตามขนาดของอาณานิคม 50 แห่ง และยังรวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนตัวและการเปลี่ยนแปลงของอาณานิคมตามกาลเวลา ซึ่งได้มาจากข้อมูลทางพันธุกรรมและประชากร
นักวิจัยพบว่าสภาพสิ่งแวดล้อมในแอนตาร์กติกา นกเพนกวินจักรพรรดิเข้าข่ายเกณฑ์เสี่ยงใกล้สูญพันธุ์ไปจนถึงการสูญพันธุ์ตามแนวทางที่สหภาพนานาชาติเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) กำหนดไว้ นักวิทยาศาสตร์ทางทะเลจึงเรียกร้องให้มีการจัดระดับภัยคุกคามจากการสูญพันธุ์ของนกเพนกวินจักรพรรดิใหม่โดยด่วน หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพแวดล้อมในเรื่องของถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกมัน
นอกจากนี้ แผ่นน้ำแข็งที่หายไปส่งผลกระทบต่อเพนกวินจักรพรรดิและเพนกวินอาเดลี ที่ต้องพึ่งพาน้ำแข็งในการสร้างรังสำหรับลูกน้อย หากน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็วหรือน้ำแข็งเกิดช้าในฤดูถัดไป เนื่องจากอุณหูมิสูงขึ้น เพนกวินอาจสืบพันธุ์ได้ยากลำบาก ซึ่งสมมติฐานที่แย่ที่สุดคือ เพนกวินชนิดนี้อาจสูญพันธุ์ภายในปี 2100 หากโลกยังไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซมลพิษได้สำเร็จ
"นกเพนกวินจักรพรรดิเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญของความสมบูรณ์ของระบบนิเวศในแอนตาร์กติกา นอกจากนี้ยังช่วยให้เราทราบถึงการเปลี่ยนแปลงที่กว้างขึ้นในระบบโลก ดังนั้น การใช้แบบจำลองที่มั่นคงนี้จึงช่วยเพิ่มความเข้าใจของเราเกี่ยวกับความไม่แน่นอนและความเสี่ยงจึงมีความสำคัญ หากเราต้องการอนุรักษ์และปกป้องสิ่งมีชีวิตนี้และสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ให้ดีขึ้น" ศาสตราจารย์ฟิล ทราธาน ผู้เขียนบทความและอดีตหัวหน้าฝ่ายชีววิทยาการอนุรักษ์ที่ British Antarctic Survey กล่าว
Advertisement